Action

Sniper: G.R.I.T. – Global Response & Intelligence Team (2023) สไนเปอร์ ทีมสายลับสะท้านโลก

Untitled07458

และเราก็มาถึงภาคที่ 10 ครับ ถูกต้องแล้วครับ นี่คือภาคที่ 10 ของ หนังชุด Sniper ขณะที่ผมเขียนนี่ยังแอบทึ่งเลยนะ หนังสามารถมาไกลได้ถึงภาคที่ 10 ได้เนี่ย แสดงว่าการตอบรับมันคงโอเคพอสมควร ไม่งั้นหนังคงไม่เดินมาถึงภาคนี้หรอก

หนังยังคงเขียนบทและกำกับโดย Oliver Thompson ส่วนโทนหนังนั้นผมมองว่าอยู่ในระดับกลางๆ ครับ คือถ้าจำกันได้โทนดั้งเดิมของหนังชุดนี้คือแอ็คชั่นระทึกขวัญจริงจัง จนมาถึงภาคก่อน (ที่ Thompson กำกับ) หนังได้เปลี่ยนโทนไปเป็นแอ็คชั่นเบาๆ กวนๆ ยวนๆ ซึ่งผมชอบนะ แต่ก็เดาได้เหมือนกันว่าแฟนหนังชุดนี้แบบดั้งเดิมคงไม่ชอบแหงๆ ทำให้ภาคนี้โทนแม้อาจจะถือว่ายังเบาอยู่ แต่ก็ไม่ได้หลั่นล้าฮาเฮเท่าภาคก่อน

เรื่องราวก็หลังจากที่ท่านผู้พัน เกเบรียล สโตน (Dennis Haysbert) ก่อตั้งองค์กร G.R.I.T ขึ้นมาเพื่อต่อกรกับเหล่าร้ายจากทั่วโลก โดยมีสมาชิกหลักคือ แบรนดอน เบคเกตต์ (Chad Michael Collins) สไนเปอร์มือพระกาฬ, ซีโร่ (Ryan Robbins) เจ้าหน้าที่ขาลุย และเลดี้เดธ (Luna Fujimoto) ยอดนักฆ๋าสัญชาติญี่ปุ่น ทีนี้ในภารกิจล่าสุดท่านผู้พันได้ส่งเลดี้เดธแทรกซึมเข้าไปในองค์กรของเจ้าลัทธินามว่า ไอแวน บูบาโล (Paul Kissaun) จุดประสงค์ก็คือให้เลดี้เดธลอบสังหารบูบาโลซะ แต่ภารกิจเกิดผิดพลาด ทำให้เลดี้เดธหายตัวไป ท่านผู้พันเลยต้องเรียกให้แบรนดอนกับซีโร่ตามไปช่วยเธอกลับมา

ภาคนี้ก็ถือว่าเรื่อยๆ น่ะครับ สำหรับหลายๆ ท่านมันอาจโอเคขึ้นเพราะโทนมันลดความเฮฮาลง แต่สำหรับผมนี่ด้วยความที่ชอบสไตล์ของภาคที่แล้ว มาภาคนี้มันลดความลัลลาลง ความบันเทิงสำหรับผมมันเลยลดลงไป

ผมมองว่าหนังมันไม่ค่อยลุ้นเท่าไรครับ อย่างช่วงต้นๆ ตอนแบรนดอนกับซีโร่ไปเก็บพวกระดับหัวหน้าในองค์กรของบูบาโลนั้นมันดูง่ายมากจนผมเองยังแอบอึ้งเลยว่าอะไรมันจะง่ายขนาดนี้ ทั้งที่หนังพยายามเกริ่นซะใหญ่โตว่าองค์กรของบูบาโลนั้นแกร่งพอที่จะสร้างความสั่นสะเทือนให้บางประเทศได้เลยด้วยซ้ำ แต่นี่กลายเป็นว่าแต่ละคนโดนเก็บแบบไม่ยากเย็น

พอผ่านช่วงต้นไป หนังก็เล่าถึงพล็อตถัดมาที่เกี่ยวกับอดีตของเลดี้เดธ ตอนแรกผมก็คิดว่า โอเค ช่วงต้นมันยังไม่ใช่พล็อตหลักไง มันเลยดูง่าย แต่พอมาถึงพล็อตเกี่ยวกับเลดี้เดธนี่มันคงจะมีอะไรมากขึ้นล่ะมั้ง แต่ก็กลายเป็นว่ามันก็ไม่มีอะไรอย่างที่คิดครับ คือบอกเลยก็ได้ว่าเลดี้เดธตกเป็นเป้า มีคนจะตามล่าเธอ แต่แทนที่จะมีทีมมาล่าเธอ (เพราะพวกที่จะมาล่านี่ หนังก็เกริ่นอีกเหมือนกันว่ามีทรัพยากรบุคคลอยู่ไม่น้อย) ดันกลายเป็นว่ามีคนแค่คนเดียวที่มาตามเก็บเธอครับ มันเลยไม่ต้องลุ้น เพราะก็รู้อยู่แก่ใจว่ายังไง 3 นักฆ่าของเราก็เอาชนะคนที่ถูกส่งมาได้อยู่แล้วน่ะ

หรือตอนท้ายที่บุกรังของพวกผู้ร้าย มันก็เรื่อยๆ อีกเหมือนกันน่ะครับ ไม่ได้ตื่นเต้นเร้าใจอะไรมากมาย ถ้าจะมีอะไรที่ดีหน่อยก็คงเป็นตอนที่เลดี้เดธซัดพวกผู้ร้ายนับสิบ ฉากบู๊ของเธอก็ถือว่าโอเค แต่นอกนั้นมันก็ดูเรื่อยๆ น่ะครับ ยังไม่เร้าใจแบบเต็มๆ

และภาคนี้มีการเปลี่ยนคนแสดงเป็นเลดี้เดธครับ จาก Sayaka Akimoto มาเป็น Luna Fujimoto ซึ่งผมถือเป็นความเศร้าอันแสนหวานครับ คือตอนแรกพอรู้ว่าเปลี่ยนตัวแสดงผมก็เสียดายนะ แต่พอรู้ว่าคนมาแสดงแทนคือ Luna Fujimoto ที่ผมแอบปลื้มตั้งแต่ Blade of the 47 Ronin ความรู้สึกมันเลยก้ำกึ่งครับ คือใจหนึ่งก็ดีใจที่ได้เจอเธอ – เพราะเธอน่ารักน่ะนะครับ – แต่อีกใจหนึ่งระหว่างดูก็รู้สึกครับว่าบทเลดี้เดธนี่ Sayaka Akimoto เล่นไว้ดีกว่า และอดคิดไม่ได้ว่าถ้าภาคนี้เธอยังคงเล่น หนังจะออกมาโอเคกว่านี้ไหม เพราะเลดี้เดธเวอร์ชั่น Luna Fujimoto ดูออกแนวน่ารักมากกว่าจะสวยคมเข้มแบบเดิม

อีกหนึ่งตัวละครที่กลับมาแจมก็คือสายลับพีท (Josh Brener) รายนี้ก็ขโมยซีนใช้ได้ครับ แต่โดยส่วนตัวผมว่าหนังยังใช้พี่แกไม่คุ้มนะ ผมว่าแกทำอะไรฮาๆ ได้มากกว่าที่เห็นน่ะ

ก็ขอสรุปน่ะนะครับ คือถ้าว่ากันโดยส่วนตัวผมชอบแนวทางของภาคก่อนมากกว่า ภาคนี้มันเหมือนกับภาคที่แล้วแต่ลดสีสันความเพลินลงมาครึ่งหนึ่งน่ะครับ ดังนั้นใครชอบภาคก่อนแบบผมก็คงต้องทำใจ ส่วนคนที่ชอบแนวทางดั้งเดิมของหนังชุดนี้ ก็อาจจะโอเคกับภาคนี้มากกว่าภาคก่อน เพราะโทนมันดูเบาน้อยลง แต่ในแง่ของพล็อตแล้วผมว่ามันยังไม่เต็มที่เท่าไร หลายอย่างดูง่ายไปจนไม่บังเกิดความลุ้น

ดาวครึ่งกว่าๆ ครับ

Star12

(5.5/10)