
The Alamo คืองานกำกับครั้งแรกแบบเต็มตัวของ John Wayne ครับ ซึ่งตอนหนังออกฉายแม้จะทำรายได้ไปไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับทุนสร้างที่สูงมากแล้วก็ถือว่ายังไม่สวยงาม และคำชื่นชมเมื่อตอนนั้นก็ไม่ได้มากมาย แต่สำหรับผมแล้ว หนังถือว่ามีความน่าจดจำไม่น้อย
หนังย้อนเล่าถึงตำนานการต่อสู้ที่อลาโม่ โดยในตอนนั้นจอมพลซานตา แอนนาที่ทรงอิทธิพลในแถบเม็กซิโกก็หมายมั่นจะยึดดินแดนเท็กซัสมาเป็นของตนแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่แล้วกองทัพของซานตา แอนนาก็ต้องเจอกับอุปสรรคที่คาดไม่ถึง นั่นคือกองกำลังคนกล้าที่นำโดยผู้การวิลเลี่ยม บาร์เรต ทราวิส (Laurence Harvey), ผู้การเดวิด คร็อกเก็ต (John Wayne) และผู้การจิม โบวี่ (Richard Widmark) ที่ยืนหยัดรับมือกับกองทัพของซานตา แอนนาที่มีกำลังทหารกว่า 6,000 นาย ในขณะที่กองกำลังฝ่ายเท็กซัสนั้นมีไม่ถึง 200 คน
การต่อสู้ที่อลาโม่นี่ถือเป็นศึกที่ประวัติศาสตร์จารึกครับ และยังถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้ชาวเท็กซัสรวมพลังกันเพื่อเรียกร้องเอกราชจากเม็กซิโก ก่อนจะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐอเมริกาในเวลาต่อมา
ตัวหนังนี่ยิ่งใหญ่มากครับ คือบอกได้เลยว่าอลังการงานสร้างแบบสุดๆ โดยเฉพาะฉากต้อนวัวที่น่าตื่นตา และฉากรบตอนครึ่งหลังที่มีคนเข้าฉากกว่า 7,000 คนและมีม้ากว่า 1,500 ตัว คือดูเฉพาะงานสร้างนี่ผมก็ว่าคุ้มแล้วนะ เพราะของเขาใหญ่จริง ไม่แปลกใจเลยที่หนังจะทุ่มทุนสร้างไป $12 ล้าน (สำหรับเมื่อ 60 กว่าปีก่อนนี่ถือเป็นเงินก้อนใหญ่มากนะครับ)
Wayne ถือเป็นพลังสำคัญของหนังครับ เขาดูองอาจและเปี่ยมความเป็นผู้นำ บวกด้วยฝีมือของ Widmark และดาราน้อยใหญ่ที่ช่วยเสริมความเข้มข้นให้กับเรื่องราว ช่วงต้นๆ หนังอาจจะดูเรื่อยๆ อยู่บ้าง เพราะหนังจะใช้เวลาไปกับการเล่าสถานการณ์ การแนะนำตัวละคร รวมถึงฉายให้เห็นถึงวัฒนธรรมและความบันเทิงของสมัยนั้น อันว่าความสนุกเข้มข้นของหนังถือว่าไหลมาเทมาหลังจากภารกิจต้อนวัวน่ะครับ ถัดจากนั้นมานี่ความน่าติดตามมาเต็มไปจนกระทั่งหนังจบเลย
หนังสะท้อนรายละเอียดในสงครามได้ดีครับ โดยเฉพาะอารมณ์ความรู้สึกของคนที่ต้องมาเผชิญกับสงคราม ผมชอบตอนที่ครอบครัวของเหล่าทหารและกำลังพลเรือนเดินทางออกจากป้อมเพื่อไปยังสถานที่ปลอดภัย ฉากนี้จะมีบางคนที่ไม่มีครอบครัวที่นั่นเลยไม่มีใครให้ร่ำลา แต่ชายคนหนึ่งก็อดรนทนไม่ได้จนต้องขออนุญาตเอ่ยคำอำลาต่อหญิงสาวนางหนึ่งที่เขาไม่รู้จัก เพราะไม่อาจรู้ได้ว่าหลังจากศึกนี้จบแล้ว ชีวิตเขาจะยังอยู่ต่อไปหรือเปล่า

หรือฉากที่ลูกเมียต้องมาเก็บศพเหล่าทหารผู้จากไป บ้างก็ประคองร่าง บ้างก็เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้กับร่างที่ไร้วิญญาณ โดยส่วนตัวผมว่า John Wayne มีมุมมองในการทำหนังและการนำเสนอที่น่าสนใจไม่น้อย คือมันอาจไม่ใช่สิ่งที่คอหนังสมัยนั้นจะเข้าใจในทันที แต่พอมาดูยุคนี้ ผมพบว่าหลายอย่างมีความลึกซึ้ง หลายฉากเสริมอารมณ์ให้หนังได้อย่างหนักแน่น ทำให้เราเห็นภาพสงครามในหลายมุม – ไม่ได้มีแต่การเข่นฆ่าต่อสู้เพียงอย่างเดียว
แล้วก็มาถึงช่วงเล่าเกร็ดหนังตามระเบียบนะครับ แรกเริ่มเดิมทีนั้นคนที่ Wayne อยากให้มาแสดงนำในเรื่องคือ Charlton Heston และ Clark Gable แต่รายแรกก็บอกปัดไปเนื่องจากมุมมองทางการเมืองระหว่างเขากับ Wayne นั้นไม่ตรงกัน (ตอนนั้น Heston เป็นเดโมแครตครับ ส่วน Wayne อยู่ฝ่ายรีพับลิกัน) ในขณะที่ Gable บอกปัดเนื่องจากเขามองว่าบท ทราวิส ที่ Wayne จะให้เขามาแสดงนั้น อายุจริงของเขากับบทมันต่างกันเกินไป และอีกอย่างคือ Gable ไม่อยากร่วมแสดงในหนังทุนสูงที่ผู้กำกับเพิ่งกำกับเป็นหนแรก (ประมาณว่ามันมีความเสี่ยงนั่นแหละครับ)
และจริงๆ ตอนแรก Wayne คิดจะให้ Widmark มาเล่นเป็นเดวี่ คร็อกเก็ต ส่วนเขาจะรับบทสมทบเล็กๆ อย่างแซม ฮูสตันแทน เพื่อที่เขาจะได้โฟกัสไปที่งานกำกับอย่างเต็มที่ แต่ต่อมา Wayne ก็พบว่าบทที่เขาจะเล่นนั้นมีผลต่อทุนสร้างที่เขาจะได้ครับ นั่นคือหากเขารับบทเด่น คนออกทุนก็จะสนับสนุนทุนให้เยอะ แต่ถ้าเขารับบทเล็กๆ ทุนที่จะได้ก็จะลดหลั่นกันไป ดังนั้น Wayne เลยจำต้องรับบทนำเป็นเดวี่ คร็อกเก็ตเพื่อที่จะได้รับการสนับสนุนทุนแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ส่วน Widmark ก็ขยับไปเป็นจิม โบวี่แทน
แต่ก็มีข่าวออกมาครับว่า Wayne กับ Widmark นั้นไม่ถูกกัน (อีกแล้ว) อันเนื่องจากมุมมองทางการเมือง – สมัยนั้นดาราใหญ่ๆ หลายคนไม่กินเส้นกันเพราะเรื่องนี้ค่อนข้างบ่อยครับ
และเนื่องจากหนังเรื่องนี้ลงทุนมหาศาล อีกทั้งยังมีปัญหาระหว่างการถ่ายทำและเกิดความล่าช้าอีก จนมีคนเล่าว่า Wayne นั้นตอนอยู่ในกองจะเครียดมาก จนถึงขั้นต้องสูบบุหรี่แบบมวนต่อมวนตลอดเวลาที่ไม่ได้เข้าฉากแสดง
แล้วก็อย่างที่บอกครับว่าแม้หนังจะทำเงินไปพอตัว จนติด Top 10 หนังทำเงินประจำปี 1960 และหนังยังได้รับความนิยมอย่างมหาศาลในแถบยุโรปและญี่ปุ่น แต่รายได้ทั้งหมดก็ยังไม่พอจะโปะทุนที่ใช้ไปครับ กล่าวคือ Wayne ซึ่งก็มีการควักทุนส่วนตัวลงไปด้วย ต้องตกเป็นหนี้ก้อนใหญ่อยู่นานเลยครับ กล่าวกันว่ากว่า Wayne จะปลดหนี้ได้หมดนั้น ต้องรอถึงปี 1971 โดยเงินก้อนสุดท้ายที่ Wayne นำมาปลดหนี้ได้สำเร็จคือตอนขายลิขสิทธิ์หนังเรื่องนี้ให้ฉายทางทีวี
ดังนั้นหากจะกล่าวว่า John Wayne นั้นทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทำหนังเรื่องนี้ ก็คงไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริงแต่อย่างใดครับ
พูดตรงๆ ว่า The Alamo อาจไม่ใช่หนังที่สุดยอดน่ะนะครับ มันอาจไม่ได้สมบูรณ์พร้อมไปเสียทุกด้าน แต่ผมบอกได้เลยว่าหนังมีดี ควรค่าแก่การรับชม ใครที่ชอบหนังสงคราม หนังย้อนยุค หรือหนังคาวบอยตะวันตกล่ะก็ เรื่องนี้ถือเป็นอีกหนึ่งหนังที่มาพร้อมความยิ่งใหญ่แบบที่ท่านจะหาไม่ได้ (หรือหาได้ยากมากๆ) จากหนังสมัยนี้
สองดาวครึ่งครับ

(7/10)
หมวดหมู่:Drama, History, Movie Reviews, Recommended Movies, War, Western










