
แลร์รี่ เดลี่ย์ (Ben Stiller) ได้งานเป็นยามกะดึกที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติครับ จริงๆ มันควรเป็นงานง่ายๆ แค่เดินตรวจตรารอบๆ ก็น่าจะเสร็จ แต่เผอิญว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ดันไม่เหมือนใคร เพราะทุกสิ่งจะมีชีวิตขึ้นมาในยามค่ำคืน งานนี้ชีวิตแลร์รี่เลยว้าวุ่นแบบไม่ทันตั้งตัวครับ
เป็นหนังที่ดูรอบแรกก็เพลิน ดูรอบล่าสุดก็ยังเพลินอยู่ มันคือการผสมยำกันระหว่างหนังฮาอารมณ์ดี (แบบแสบหน่อยๆ) สไตล์ Stiller บวกด้วยความแฟนตาซีแบบ Jumanji (ซึ่งก็พอดีที่ Robin Williams มาร่วมแจมด้วย) ถือเป็นสูตรที่สร้างความบันเทิงได้อยู่แล้ว และผู้กำกับ Shawn Levy ก็ถือว่าคุมหนังได้อยู่ครับ ดูแล้วฮา ดูแล้วเพลิน สนุกแบบเด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี
ผมชอบที่หนังสอดแทรกสาระแง่คิดลงไปแบบเนียนๆ ผ่านตัวแลร์รี่ที่ต้องมาเจอกับเหตุวุ่นๆ ตอนแรกพี่แกก็สติแตกเพราะไม่ทันตั้งตัว แต่พอตั้งหลักได้เราก็จะได้เห็นความพยายามของเขาในการรับผิดชอบหน้าที่ให้ดีที่สุด โดยแลร์รี่พยายามหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสรรพสิ่งที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์เพื่อที่เขาจะได้รับมือแต่ละสิ่งได้อย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะผ่านหนังสือ หรือผ่านผู้รู้
อะไรเหล่านี้นี่เราเอาไปสอนเด็กระหว่างดูได้เลยครับ ว่าถ้าหากพวกเขาเจออะไรที่ยังไม่รู้ เจอสิ่งที่ยังไม่เข้าใจ หรือเจอปัญหาที่แก้ไม่ได้ ก็อย่าด่วนยอมแพ้ อย่าเพิ่งท้อแท้ท้อถอย ขอให้ตั้งหลักตั้งสติก่อน แล้วก็ค่อยไปหาทางเรียนรู้ หาข้อมูลเพื่อเพิ่มความเข้าใจ จะอ่านหนังสือก็ได้ หรือถ้าสมัยนี้ก็หาอ่านตามเน็ต หรือไม่ก็ขอความรู้จากผู้รู้ – และถ้าจะให้ดี ไม่ว่าเราจะหาข้อมูลจากแหล่งไหนก็ตามแต่ ก็ต้องอย่าลืมที่จะตรวจสอบตรวจทาน หาข้อมูลจากหลายๆ แหล่งมาประกอบเข้าด้วยกัน อย่าเพิ่งรีบสรุปใจความด่วนเชื่อตามนั้นในทันที
ซึ่งในหนังก็สอดแทรกประเด็นลงไปอีกชั้นหนึ่งครับ เพราะถัดจากที่แลร์รี่ค้นข้อมูลเพื่อจะเอาไปใช้จัดการในพิพิธภัณฑ์แล้ว ก็ใช่จะแก้ปัญหาทั้งหมดได้ในทันที บางข้อมูลบางวิธีสามารถแก้ปัญหาได้ก็จริง แต่บางข้อมูลก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้แบบตรงจุด หรือบางวิธียิ่งใช้แก้ก็กลายเป็นยิ่งวุ่นก็มี อะไรเหล่านี้ชี้ชวนให้เราตระหนักถึงการเอาความรู้ทั้งหลายไปใช้น่ะครับ ว่ามันยังมีปัจจัยแวดล้อมแทรกซ้อนขึ้นมาได้เสมอ
บางครั้ง 1 + 1 ก็อาจจะไม่ได้ 2 เสมอไป

ผมชอบตอนที่แลร์รี่ต้องเผชิญหน้ากับแอตทิลล่า เดอะ ฮันต์ (Patrick Gallagher) ที่ตอนแรกแลร์รี่ไปค้นเจอมาว่าแอตทิลล่าจะชื่นชอบพ่อมดและผู้มีเวทย์มนต์ แต่เอาเข้าจริงสิ่งที่สามารถชนะใจแอตทิลล่าได้หาใช่มนต์มายาลวงตาใดๆ แต่ต้องใช้ความจริงใจและความรักเป็นสื่อถึงจะได้ผล – อันนี้ก็มาพร้อมแง่คิดเรื่องความรู้ที่สื่อว่าข้อมูลตามตำราอาจเป็นเพียงความรู้เบื้องต้น หากเราอยากรู้ซึ้งรู้จริงมากยิ่งขึ้นก็ต้องหาความรู้เพิ่ม หรือถ้าจะให้ดีก็ลงไปสัมผัส ไปค้นหาความจริงเพิ่มด้วยตนเองหากมีโอกาส (อันนี้ก็ต้องแล้วแต่เรื่องด้วยน่ะนะครับ บางเรื่องก็อาจเสี่ยงอันตรายหากเราเอาตัวเองลงไปข้องเกี่ยว นี่ก็ต้องใช้วิจารณญาณ พิจารณาเป็นกรณีๆ ไป)
และเรื่องนี้ยังแอบสอดแทรกแง่คิดเกี่ยวกับเรื่องสายใยความสัมพันธ์ ว่าหากอยากรู้จักใครอย่างจริงใจจริงจัง เราอาจต้องใช้เวลาพอสมควรครับ คนบางคนอาจมีกำแพงภายนอกที่ล้อมตัวเองไว้ในรูปโฉมแบบหนึ่ง แต่ตัวจริงภายในของเขาอาจเป็นอีกเรื่องไปเลยก็ได้
ไหนจะประเด็นเรื่องความรับผิดชอบและการกล้าเผชิญหน้ากับปัญหา ที่ก่อนหน้านี้แลร์รี่เองพยายามหนีปัญหา หรือไม่ก็ใช้คำอ้างสารพัดมาเป็นเหตุผลในการที่ตนจะไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง จนส่งผลกระทบถึงชีวิตและครอบครัว แต่แล้วพอเขาหันมารับผิดชอบ หันมาเผชิญหน้ากับปัญหาดูซักตั้ง ชีวิตก็เปลี่ยนครับ มันเหมือนพอแลร์รี่เปลี่ยน Mindset ชีวิตก็พร้อมจะเปลี่ยนตามเช่นกัน – จุดนี้ทำให้แลร์รี่ดูมีมิติครับ ไม่ใช่แค่ตัวละครเอาขำเอาฮาทั่วๆ ไป แต่เขามีชีวิต มีคาแรคเตอร์ และมีพัฒนาการ ซึ่งมิติของตัวแลร์รี่นี่เองก็เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้หนังมีความน่าติดตาม เป็นปมที่คนดูแอบเอาใจช่วยอยู่ลึกๆ แล้วก็ต้องยอมรับด้วยครับว่า Stiller เล่นบททำนองนี้ได้ดีเสมอ (บทของตัวเอกที่ออกแนวรองบ่อนและขี้แพ้หน่อยๆ แต่สุดท้ายก็สามารถยืนหยัดพลิกเกมกลับมาเอาชนะได้ในท้ายที่สุด)
ถือได้ว่าหนังสนุกครบรสและได้สาระดีๆ ติดหัวกลับมาด้วย งานสร้างก็ถือว่าน่าจดจำครับ งาน CG เทคนิคพิเศษทั้งหลายช่วยเสริมพลังให้หนังดูสนุก – จุดนี้ผมชอบที่หนังไม่เอาแต่โฟกัสกับการขาย CG แต่เลือกที่จะใช้ CG เป็นส่วนประกอบเพื่อเสริมความเข้าท่าของเรื่องราว – และดนตรีของ Alan Silvestri ก็จัดว่าได้ใจครับ มันได้อารมณ์หนังแฟนตาซีผจญภัย พร้อมทั้งได้กลิ่นอายเวทย์มนต์มหัศจรรย์ผสมลงไปอีก ยอมรับเลยว่าดนตรีของหนังเรื่องนี้ทำให้รู้สึกว่าหนังดูมีมนต์ขลังในตัวเอง
งานสร้างเด็ด CG ดี ดนตรียอด การเล่าเรื่องก็ลื่นไหล และแน่นอนว่าทีมดาราก็เล่นได้ถึงทุกคนครับ ไม่ว่าบทจะเล็กหรือใหญ่แค่ไหนก็ตาม และยอมรับว่าดูแล้วแอบคิดถึงลุง Robin Williams จังครับ เขาดูตั้งใจกับบทนี้มากๆ
ดีใจที่หนังประสบความสำเร็จอย่างสวยงามครับ ทำเงินทั่วโลก $574 ล้าน (จากทุนราว $110 ล้าน) กำไรสวยงามและส่งผลให้มีภาคต่อตามออกมา ซึ่งแม้ภาคต่ออีก 2 ตอนจะไม่เด็ดเท่าภาคแรก แต่ก็ยังถือว่าดูสนุกและควรค่าแก่การดูให้ครบแบบไตรภาค
สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ

(7.5/10)

หมวดหมู่:Adventure, Comedy, Family, Fantasy, Movie Reviews, Recommended Movies










