Black and White Movies

Lilies of the Field (1963)

Untitled07105

Lilies of the Field ถือเป็นหนัง Feel Good รุ่นเก่าที่คลาสสิกและน่าดูอีกเรื่องหนึ่งครับ

โฮเมอร์ สมิธ (Sidney Poitier) คือนายช่างที่กำลังเดินทางไปบนถนนสายหนึ่ง ระหว่างทางรถของเขาหม้อน้ำแห้งเลยต้องแวะขอน้ำจากคนที่อยู่ละแวกนั้น แล้วเขาก็พบสำนักแม่ชีที่ดูแลโดยคุณแม่มาเรีย (Lilia Skala) ตอนแรกโฮเมอร์ก็แค่จะขอน้ำมาเติมแล้วก็จะเดินทางต่อ แต่ทีนี้ที่สำนักชีก็มีแค่แม่ชีอยู่ด้วยกันแค่ 5 คนครับ ไม่มีคนช่วยทำนุบำรุงสถานที่ สภาพสำนักเลยทรุดโทรมจนหลังคารั่ว โฮเมอร์เลยตกลงจะช่วยซ่อมให้เพื่อแลกกับค่าจ้าง

จากซ่อมหลังคา คุณแม่มาเรียก็มีงานอยากให้โฮเมอร์ช่วยอีกเรื่อยๆ ช่วยไปช่วยมาทีนี้ก็ยาวครับ ไปๆ มาๆ โฮเมอร์เลยอยู่จนถึงขั้นช่วยสร้างโบสถ์ให้เหล่าแม่ชีไปเลย

โทนหนังก็ไม่ได้ Feel Good แบบหลับหูหลับตาน่ะนะครับ ใช่ว่าตัวละครในเรื่องจะมีแต่รอยยิ้มและน้ำใจให้กัน หนังมีการสะท้อนความเป็นมนุษย์ปุถุชนของเหล่าตัวละครที่ยังมีรัก โลภ โกรธ หลง อย่างโฮเมอร์นี่ก็ไม่ใช่เทพบุตรมาจากไหน เขาเป็นช่างผิวดำคนหนึ่งที่ต้องกินต้องใช้ ก็เลยทำงานแบบแลกค่าแรง ส่วนคุณแม่มาเรียก็ออกแนวแม่ชีปากร้ายที่บางทีก็พูดไม่เข้าหูคน เลยทำให้โฮเมอร์กับคุณแม่มาเรียมีกระทบกระทั่งกันบ้างตามประสา แต่กระนั้นลึกๆ แล้วพวกเขาก็เป็นคนดีน่ะครับ แม้จะมีโกรธกันเสียงดังใส่กันบ้าง แต่เมื่อถึงเวลาที่อีกฝ่ายต้องการความช่วยเหลือ อีกฝ่ายก็พร้อมจะหยิบยื่นน้ำใจไมตรีให้

หนังมีทั้งความ Feel Good และ Feel Real ครับ สะท้อนทั้งด้านบวกและด้านลบของคน และพยายามจะกระซิบบอกกับคนดูอย่างเราๆ ว่า คนเรามีทั้งหน้ายิ้มและหน้าบึ้งนั่นแหละ ถ้าต่างฝ่ายต่างบึ้งใส่กัน อารมณ์ร้อนใส่กัน เรื่องมันก็จะไปกันใหญ่ แต่ถ้ามีสักฝ่ายหนึ่งที่ยอมเป็นฝ่ายเย็น เปลี่ยนเป็นหน้ายิ้ม มันก็จะช่วยบรรเทาความร้อนระอุที่เกิดขึ้นได้

และคนบางคนก็ปากร้ายไปงั้นแหละ หน้าบึ้งไปงั้นแหละ แต่จริงๆ ไม่มีอะไรหรอก ถ้าใจเย็นๆ แล้วค่อยๆ พูดกันเดี๋ยวก็ตกลงกันได้เอง

Untitled07106

หนังสร้างจากนิยายของ William E. Barrett ครับ โดย James Poe เป็นคนดัดแปลงจากตัวหนังสือมาเป็นบทภาพยนตร์ ซึ่งหนังก็สะท้อนมิติของคนได้อย่างน่าสนใจ และแน่นอนว่าของดีอย่างสำคัญของหนังคือการแสดงเวิร์กๆ ของ Poitier และ Skala ที่ต่างก็สวมวิญญาณตัวละครของตนได้ถึงระดับ หนังสนุกและน่าติดตามก็เพราะการแสดงของพวกเขานี่แหละครับ – ถ้าให้ตั้งชื่อหนังเรื่องนี้ตามสมัยปัจจุบันก็คงได้เป็น “คุณแม่ชีปากร้ายกับนายช่างปากหนัก” อะไรประมาณนั้นน่ะครับ

อีกส่วนที่ชอบคือการเล่าเรื่องของผู้กำกับ Ralph Nelson ครับ จังหวะจะโคนในการเล่าถือว่าพอดี ผมชอบที่หนังมีการ “เว้นบรรทัด” มีช่องว่างให้เราไปคิดต่อเอาเอง อย่างช่วงหนึ่งที่โฮเมอร์กับคุณแม่มาเรียมีปัญหากัน จนโฮเมอร์หายไปจากสำนัก ไม่รู้หายไปไหนครับ แต่หายไปนานอยู่เหมือนกัน แล้วจู่ๆ โฮเมอร์ก็กลับมาทำงานให้เหล่าแม่ชีต่อ โดยที่หนังก็ไม่ได้บอกแบบชัดๆ ว่าโฮเมอร์ไปไหนมา เขาคิดอะไรระหว่างที่หายไป และเขาคิดอย่างไรถึงได้กลับมา – เหมือนหนังเว้นช่องว่างระหว่างบรรทัดให้เราลองไปคิดวิเคราะห์กันเองน่ะครับ ซึ่งผมว่าเข้าท่านะ มันช่วยเพิ่มเสน่ห์บางอย่างให้หนังได้เหมือนกัน

หนังยังสอดแทรกประเด็นเชิงศาสนาว่าบางทีศาสนาก็มีประโยชน์ในการทำให้คนหันหน้าเข้าหากันได้ อย่างโฮเมอร์และคุณแม่มาเรียนั้นแม้จะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และมีความแตกต่างในหลายๆ ด้าน แต่ด้วยความที่นับถือศาสนาเดียวกัน (แม้จะคนละนิกาย) ก็เลยผูกสัมพันธ์กันได้ง่ายขึ้น ซึ่งก็แน่นอนล่ะครับว่าพอมีประเด็นแบบนี้ขึ้นมาก็คงอดไม่ได้ที่จะมีคนมองว่า “แล้วถ้าพวกเขานับถือกันคนละศาสนาล่ะ เรื่องจะออกมาเป็นเช่นไร?” อันนี้ก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะหนังไม่ได้ว่าไปถึงประเด็นนั้น ก็คงต้องแล้วแต่เราจะนำไปคิดพิจารณาเป็นการบ้านล่ะครับ

อีกหนึ่งตัวละครที่ผมชอบคือนายฮวน (Stanley Adams) เจ้าของร้านอาหารที่โฮเมอร์ได้สนทนาด้วยระหว่างรอรับส่งเหล่าแม่ชี การสนทนาจากปากของนายคนนี้ก็สะท้อนอะไรให้คิดเหมือนกัน อย่างตอนท้ายฮวนไปร่วมสร้างโบสถ์กับเขาด้วย พอมีคนถามในเชิงว่าทำไปทำไม ฮวนก็ตอบว่าสิ่งที่เขาทำก็เหมือนการทำประกัน เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโลกหน้ามีจริงไหม สวรรค์มีจริงไหม หรือวันพิพากษาจะมีจริงไหม แต่อย่างน้อยการร่วมทำดีสร้างโบสถ์สร้างวิหารในครั้งนี้ หากสิ่งเหล่านั้นมีจริงๆ อย่างน้อยเขาก็ได้ทำอะไรสักอย่างที่พอจะประกันว่าตอนตายไปก็คงจะได้อยู่ในภพภูมิดีๆ กับเขาบ้าง – จะมองว่าพี่ท่านแทงกั๊กก็คงพอได้ – และจะว่าไปแล้วคนที่ไม่ได้นับถือศาสนาอะไร แต่คิดแบบนี้ก็มีอยู่จริงๆ ในโลกเหมือนกัน

Untitled07107

เกร็ดหนังที่อยากบอกเล่าก็คือ จริงๆ ตอนแรก Poitier บอกปัดบทนี้ไปครับ เพราะในบทดั้งเดิมนั้นบทของโฮเมอร์จะออกแนวคล้ายทาสที่โดนคุณแม่มาเรียใช้งานอยู่ตลอดเรื่อง จนกระทั่งมีการปรับบทใหม่เป็นอย่างที่เห็น (ที่โฮเมอร์และคุณแม่มาเรียถือว่าอยู่ในตำแหน่งที่เท่ากัน) เขาเลยตกลงรับแสดง

และจริงๆ แล้ว Poitier มีปัญหาทางการได้ยินครับ เขาเลยมักจะร้องเพลงได้ไม่ตรงคีย์สักเท่าไร ดังนั้นฉากที่เขาร้องเพลงในหนังก็เลยถูกพากย์ทับโดย Jester Hairston แทน

ตัวหนังนั้นลงทุนไปราว $800,000 เหรียญครับ แต่พอออกฉษยหนังก็ฮิตทำเงินไปกว่า $5 ล้าน และได้เข้าชิง 5 รางวัลออสการ์อันได้แก่ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม, นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม, บทดัดแปลงยอดเยี่ยม และกำกับภาพยอดเยี่ยม แล้วสุดท้ายหนังก็คว้ามา 1 รางวัลนั่นคือนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ส่งผลให้ Poitier เป็นนักแสดงแอฟริกันอเมริกันคนแรกที่ได้รางวัลนี้

และกล่าวกันว่าหนังเรื่องนี้คือหนังในดวงใจของ LeVar Burton เจ้าของบทคุนต้า คินเต้ในมินิซีรี่ส์เรื่อง Roots (ฉบับปี 1977) หรือคนรุ่นใหม่อาจคุ้นเขามากกว่าในบทจอร์ดี้ ลา ฟอร์จ แห่ง Star Trek: The Next Generation

โดยรวมแล้วหนังถือว่าคุ้มค่าน่าดูครับ เดินเรื่องชวนติดตาม เนื้อเรื่องไม่หวือหวาแต่ก็มีความน่าสนใจ ตอนจบก็น่าจดจำอยู่ แต่สำหรับคอหนังรุ่นใหม่อาจต้องเตรียมใจเล็กๆ กับจังหวะช้าๆ ตามสไตล์หนังยุคเก่า แต่สำหรับผมหนังถือว่ากลมกล่อมกำลังดีครับ ไม่ค่อยอืดเท่าไร

สองดาวสามส่วนสี่ดวงครับ

Star22

(7.5/10)