Comedy

Mr. Mom (1983) นายแม่

Untitled07081

ตอนแรกผมเองก็ไม่ได้คิดว่าจะเพลินกับ Mr. Mom น่ะนะครับ เพราะมองจากหน้าหนังแล้วก็น่าจะเป็นหนังเบาสมองรุ่นเก่าอีกเรื่องที่คงจะขายฮาเป็นหลัก แต่ไปๆ มาๆ หนังถือว่าจับประเด็นมาเล่นได้ดี และในแง่ความสนุกก็ถือว่าไม่เลวด้วย

พล็อตก็เป็นการจับภาพในสังคมมาสลับขั้วน่ะครับ ภาพที่ว่าคือภาพครอบครัวสมัยนั้นที่คนเป็นพ่อมักจะเป็นคนทำงานหลัก ส่วนแม่ก็ดูแลลูกและบ้านไป แต่ทีนี้หนังมาพลิกเรื่องให้เป็นว่าถ้าคุณแม่ออกไปทำงานแทน แล้วให้คุณพ่อเป็นฝ่ายมาดูแลบ้าน เรื่องมันจะออกมาอีท่าไหน

แจ็ค (Michael Keaton) คือคุณพ่อที่ถูกไล่ออกจากงานแบบกะทันหันครับ และแคโรไลน์ (Teri Garr) คือคุณแม่ที่ต้องออกไปทำงานหาเงินเข้าบ้านแทน เนื้อหาหลักๆ ก็คือความวุ่นวายอันเกิดจากการที่แจ็คไม่เคยทำงานบ้านมาก่อน มันเลยเกิดเรื่องบ้าๆ สารพัดจนบ้านแทบเละเทะ ในขณะที่คุณแม่อย่างแคโรไลน์เองก็ต้องเผชิญกับโลกแห่งการทำงานที่ผู้ชายเป็นใหญ่ ต้องเจอแรงต้านทั้งจากเพศเดียวกัน และเจอความไม่น่ารักของเจ้านายที่บ้าอำนาจ

ในแง่ความบันเทิงแล้วหนังก็ตอบโจทย์ได้ไม่เลวครับ อาจไม่ถึงขั้นฮาถล่มทลาย แต่ก็เรียกรอยยิ้มได้พอตัว ที่สำคัญคือมันไม่เลอะครับ มุกตลกต่างๆ มันมีลิมิตไม่ได้เลอะเทอะจนกู่ไม่กลับ เหมือนคนทำมีหลักให้ยึดน่ะครับ ว่าหนังเรื่องนี้ทำออกมาเพื่อแสดงภาพความวุ่นวายยามคุณพ่อต้องมาดูแลบ้านแทนคุณแม่ มุกเลยจะอยู่ในขอบเขตในหัวเรื่องพวกนี้ ไม่ได้นอกลู่ไปเล่นทุกสกปรกหรือทะลึ่งลามกแบบที่หนังหลายเรื่องชอบหลงไปในทางนั้น (หรือไม่ก็ตั้งใจทะลึ่งไปเลย แบบนี้ก็มีเหมือนกัน)

จุดที่ทำให้ผมโอกับหนังอย่างแรกก็เป็นเพราะการแสดงแบบพอดีๆ ของเหล่าดาราน่ะครับ Keaton ไปได้ดีกับบทคุณพ่อที่เหมือนก้าวเข้าสู่โลกใหม่ ซึ่งมันก็ชวนให้นึกขำอยู่เหมือนกันที่โลกใหม่ที่ว่านั้นแท้จริงก็คือบ้านช่องที่นอนและตื่นอยู่ทุกวัน แต่มันก็มีแบบนี้ในโลกจริงๆ นั่นแหละครับ กับการที่หัวหน้าครอบครัวออกไปทำงานนอกบ้านเพียงอย่างเดียว ไม่เคยได้รู้ความเป็นไปภายในบ้านเลยว่าบ้านยังคงเป็นบ้านอยู่ได้ยังไง

หนังก็เหมือนชี้ชวนให้เราครวญคิดน่ะครับ ไม่ว่าเราจะอยู่ในฐานะใดของครอบครัว บางทีการทำความเข้าใจจุดที่คนในบ้านยืนอยู่ก็เป็นเรื่องสำคัญ อย่างคนออกไปหาเงินมีความสำคัญก็จริง แต่คนดูแลบ้านก็ใช่จะไม่สำคัญ จริงๆ แต่ละบทบาทในครอบครัวล้วนมีความสำคัญหมดแหละครับ เพียงแต่จะสำคัญในหัวข้อไหนประเด็นไหนเท่านั้นแหละ

สิ่งหนึ่งที่ผมชอบคือ พอหนังเล่าถึงความป่วนในชีวิตการดูแลบ้านของแจ็คไปพักหนึ่งจนแจ็คเองก็เบิร์นเอาท์เอาแต่ติดละครภาคบ่ายและหยุดดูแลบ้าน แต่พอถึงจุดหนึ่งแจ็คก็ตระหนักถึงความสำคัญของบทบาทนี้ (เพราะบ้านมันดูแลตัวเองไม่ได้ กวาดตัวเองไม่ได้ ผ้าเดินไปซักเองก็ไม่ได้) ก่อนจะปรับตัวและหันมาเรียนรู้การดูแลบ้าน จนในที่สุดอะไรๆ มันก็เข้าที่ครับ

การปรับตัวจึงเป็นทักษะที่พึงมีครับ นี่ใช้ได้กับทุกหัวข้อเลยนะ ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องบ้าน เรื่องครอบครัว เรื่องเพื่อน เรื่องความรัก เรื่องการใช้ชีวิตในสังคมรวมไปถึงโลกโซเขียล

ผมเลยรู้สึกโอเคกับหนังครับ เพราะสุดท้ายมันก็สอนให้เราเรียนรู้ที่จะตั้งหลักและมีสติในการรับมือกับปัญหาทั้งหลาย – ดูแล้วไม่ได้มีแต่ฮาอย่างเดียว แต่ยังได้แง่คิดติดหัวกลับมาด้วย

Untitled07082

อีกอย่างหนึ่งที่รู้สึกเลยคือนายแจ็คนี่เป็นคนโชคดีนะครับ เพราะแคโรไลน์ก็ถือเป็นศรีภรรยา คอยให้กำลังใจสามีเสมอ แล้วเวลาทำงานเธอก็ทำแบบเต็มที่ไม่ว่าจะตอนทำงานบ้านหรืองานที่บริษัท หรือกระทั่งบางสถานการณ์มันจะชวนให้คิดว่าแจ็คคิดนอกลู่นอกทางนอกใจ แต่เธอก็ยังมีสติพอที่จะตรวจสอบความจริง ซึง Garr ก็แสดงบทนี้ได้น่ารักครับ ดูเป็นสาวมั่นที่มีความอ่อนโยน และบางวาระก็โก๊ะได้แบบพอดีๆ

อันหนึ่งที่ดูแล้วแอบขำในใจคือการที่หนังฉายภาพผู้บริหารยุคก่อนที่มักจะห่วงผลประโยชน์ตัวเอง (อย่างเจ้านายของแจ็ค) หรือไม่ก็เป็นประเภทชอบอวดศักดา มีบ้านใหญ่ๆ แล้วก็จัดงานให้ลูกน้องมาดูความยิ่งใหญ่ของบ้านตัวเอง ตามด้วยการจัดกีฬากระชับมิตรที่ลูกน้องทั้งหลายรู้ดีว่าตัวเองห้ามชนะ เพราะมันจะเกินหน้าเจ้านาย – ที่แอบขำก็เพราะภาพในหนังนี่มัน 40 ปีล่วงมาแล้วน่ะครับ แต่มันก็ยังคงมีเรื่องแบบนี้อยู่จริงๆ ในสังคมปัจจุบัน – หลายอย่างพัฒนาเปลี่ยนแปลงไป บ้างก็มีการอัพเกรด แต่บางแง่มุมที่น่าขบขันของมนุษย์กลับยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปร

บทหนังเขียนโดย John Hughes ครับ ซึ่งว่ากันว่าที่มาของแบบหนังเรื่องนี้ก็คือตอนที่ Hughes ได้เจอกับผู้อำนวยการสร้าง Lauren Shuler Donner แล้วเขาก็เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ตอนที่เขาต้องเลี้ยงลูกสองคนและดูแลบ้านตอนที่ภรรยาไม่อยู่ ซึ่งเขานิยามเลยว่ามันคือ “หายนะชัดๆ” ทีนี้พอ Donner ฟังแล้วก็บอกว่าขำดี Hughes เลยเสนอไปว่าถ้าเขาเขียนบทหนังเกี่ยวกับเรื่องนี้เธอจะสนใจไหม Donner เลยบอกว่า “ก็น่าสนุกนะ” แล้ว Hughes ก็เลยปั่นบทส่งให้ Donner แล้วผลที่ได้ออกมาก็คือหนังเรื่องนี้นี่แหละครับ

และอยากจะบอกว่าผมชอบเพลงธีมหลักของหนังมากครับ เหมาะเอามาเปิดฟังตอนเช้าๆ มันได้อารมณ์แจ๊สเบาๆ ฟังสบายๆ สไตล์ยุค 80 เป็นฝีมือของ Lee Holdridge ครับ แม้ใครจะยังไม่เคยดูหนังแต่ก็อยากให้ลองหามาฟังครับ ไปค้นใน Youtube ก็ได้ ไม่แน่นะครับว่าท่านอาจจะได้เพลงนี้เป็นอีกหนึ่งเพลงเบาๆ ที่ช่วยผ่อนคลายให้กับท่านระหว่างทำงานก็ได้

เกร็ดเล็กๆ ของหนังเรื่องนี้ก็คือ Keaton นั้นบอกปัดบทนำใน Splash เพื่อมาเล่นเรื่องนี้ครับ และตอนแรกคนที่จะมากำกับคือ Ron Howard แต่สุดท้ายเขาก็บอกปัดเพื่อไปกำกับเรื่อง Splash แทน และอีกคนที่เกือบได้กำกับเรื่องนี้ก็คือ Ted Kotcheff ผู้กำกับ First Blood (แรมโบ้ภาคแรก) น่ะครับ

ส่วนคนกำกับเรื่องนี้คือ Stan Dragoti ผู้ล่วงลับ รายนี้เคยกำกับหนังแดร็กคูล่าหัวใจสะออนอย่าง Love at First Bite มาก่อน แลัวถัดจากเรื่องนี้เขาก็ไปกำกับ Tom Hanks ใน The Man with One Red Shoe แต่ถ้าให้ว่ากันแบบตรงๆ แล้ว ผมว่า Mr. Mom เรื่องนี้คือผลงานที่ดีที่สุดของเขาแล้วล่ะครับ

หนังลงทุนไปประมาณ $5 ล้าน แต่ได้คืนมาถึง $64.7 ล้านครับ เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งหนังฮิตแห่งยุคนั้น

สรุปว่าเป็นหนังเบาสมองที่คุ้มค่าน่าดูครับ บางมุกบางประเด็นอาจดูเก่าไปบ้าง แต่คอนเซปต์สำคัญอย่างการปรับตัวและใช้สติรับมือกับปัญหานั้น เป็นอะไรที่ยังหยิบมาคิดวิเคราะห์และใช้งานได้เสมอ ไม่ว่าจะยุคไหนก็ตาม

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)