
นี่เป็นหนึ่งในหนังที่ผมรู้สึกอยู่ลึกๆ ก่อนดูว่าดูแล้วน่าจะชอบครับ แล้วผลลัพธ์ก็คือดูแล้วชอบจริงๆ
เรื่องของซูส ทรัปเปต์ (Virginie Efira) ช่างเสริมสวยที่พบว่าตัวเองเป็นโรคร้ายและจะอยู่ได้อีกไม่นาน เธอเลยตัดสินใจทำในสิ่งที่อยากทำที่สุดนั่นคือตามหาลูกที่เธอเคยคลอดไว้เมื่อตอนอายุ 15 ปี แล้วก็ต้องยกให้คนอื่นไปเลี้ยงแทน แต่ก็แน่นอนว่าการจะหาตัวเด็กคนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายครับ เพราะเธอก็ต้องทำเรื่องขอข้อมูลจากทางการ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากว่าจะได้รับอนุญาตน่ะเธอจะตายไปแล้วหรือยัง
แล้วโชคชะตาก็พาเธอไปพบกับฌอง บาติส คูช้ส (Albert Dupontel) เจ้าหน้าที่ฝ่ายไอที กระทรวงกิจการภายใน ซึ่งก็กำลังเบื่อโลกอยู่พอดี (เนื่องจากรู้ตัวว่ากำลังจะตกงาน) จนในที่สุดพวกเขาก็จับมือช่วยกันสืบหา และการผจญภัยบ้าๆ ก็เริ่มต้น
หน้าหนังนั้นออกแนวเบาสมองครับ คือไม่ได้ออกแนวฮาตึ้งโป๊ะโบ๊ะบ๊ะแบบหนังฝากมะกัน (เรื่องนี้สัญชาติฝรั่งเศสครับ) แต่ความขำขันจะมาจากคาแรคเตอร์แปลกๆ และสถานการณ์ป่วนๆ ที่หนังประเคนให้ ซึ่งก็ไม่เลวครับ ไม่ถึงกับฮาแตกแต่ก็เรียกรอยยิ้มได้เรื่อยๆ – ดูแล้วไม่เครียดน่ะครับ ว่างั้นแล้วกัน
สิ่งหนึ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ก็คือหนังมันมีทิศทางครับ คือไม่ได้เดินเรื่องแบบเอามุกมาชนมุก ไม่ได้เดินเรื่องเพื่อนำไปสู่สถานการณ์ขำๆ แต่หนังมีพล็อตชัดเจน นั่นคือการตามหาลูกของซูส ซึ่งหนังก็ตั้งหลักที่พล็อตนี้แล้วก็เดินหน้าไปเพื่อการนี้ตลอด ไม่ได้หลงทางไปตั้งหน้าตั้งตาขายมุก พูดง่ายๆ คือหนังเดินเรื่องไปบนพล็อตนี้นั่นแหละครับ แล้วก็ค่อยปรุงอะไรเพี้ยนๆ ใส่ลงในฉากเพื่อเรียกเสียงฮา ซึ่งผมชอบหนังแบบนี้ครับ หนังที่ไม่ลืมว่าตัวเองต้องการจะบอกเล่าอะไรน่ะ
พล็อตก็น่าติดตามใช้ได้ครับ การสืบหาลูกของซูสก็มีปมให้ตามและมีอะไรให้ลุ้นเป็นพักๆ แล้วก็บวกด้วยการแสดงดีๆ ของเหล่าดารานำ ไม่ว่าจะ Efira, Dupontel และอีกคนที่ลืมไม่ได้คือ Nicolas Marié ในบทเซียร์จ บลัง ชายชราตาบอดที่ขโมยซีนได้เรื่อยๆ แต่ขณะเดียวกันก็มีความตั้งใจในการช่วยซูสหาลูกแบบสุดชีวิตเหมือนกัน

พอลองมาคิดๆ ดูแล้ว เหตุผลหนึ่งที่ผมชอบหนังเรื่องนี้คงเป็นเพราะมันมีความรู้สีกดีๆ เจือผสมอยู่มากพอตัวน่ะครับ คือมันอาจไม่ถึงกับเป็นหนัง Feel Good นะ เพราะในแง่หนึ่งหนังก็จิกกัดสังคม และมีการนำเสนอด้านที่ไม่น่ารักของคนบางประเภทอยู่ไม่น้อย แต่พอดีว่าปริมาณด้านน่ารักของคนมันมีเยอะกว่าน่ะครับ โดยเฉพาะมิตรภาพของ 3 ตัวนำที่ตอนแรกอาจมีเขม่นกันบ้าง แต่พอแต่ละคนรู้จักกันจริงๆ แล้ว พวกเขาก็หันมาช่วยกัน ปลอบใจกัน และช่วยกันแก้ปัญหา คือมันเป็นภาพที่น่ารักน่ะครับ และมันอาจเป็นตลกร้ายสักหน่อยตรงที่ พวกเขาได้มาเจอกันและมีไมตรีที่ดีต่อกันในตอนที่แต่ละคนเผชิญวิกฤตขั้นสุด หรืออย่างซูสนี่ก็อาจจะอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว อารมณ์มันเลยหวานปนขมน่ะครับ
อีกสิ่งหนึ่งที่ชวนให้สังเกตคือ ตอนแรกๆ ที่ซูสกับคูชัสมาเจอกัน เวลาฝ่ายหนึ่งจะขอให้อีกฝ่ายทำอะไร ก็จะคุยกันด้วยผลประโยชน์ เช่นเสนอว่าฉันจะทำอันนั้นแลกกับให้เธอทำอันนี้นะ แต่พอรู้จักกันไป ผจญภัยร่วมกันไป ตอนหลังนี่ไม่ต้องให้อีกฝ่ายขอเลยครับ พวกเขาพร้อมจะทำเพื่อกันและกันโดยอัตโนมัติ – มิตรภาพมันก็ประมาณนี้แหละครับ
แล้วหนังฝรั่งเศสนี่ไม่รู้เป็นอะไร บทจะซึ้งนะมันจะสามารถแหกไปซึ้งได้แบบฉับพลัน คือฉากก่อนหน้านั้นจะฮามาก่อน หรืออะไรมาก่อนก็ตาม แต่บทจะซึ้งนะ ฉากนั้นๆ ก็จะซึ้งได้ทันที ชาติอื่นนี่ยังไงไม่รู้ล่ะครับ แต่ชาติฝรั่งเศสนี่ความสามารถในการแหกไปซึ้งจะมีอัตราสำเร็จค่อนข้างสูง เห็นหลายทีแล้ว และเรื่องนี้ก็เหมือนกัน บทจะซึ้งก็ทำเอาเราน้ำตารื่นมาเชียว
หนังยาวแค่ 1 ชั่วโมงกับ 20 กว่านาทีครับ เรียกว่าเล่าแบบเนื้อๆ หนังเลยไม่น่าเบื่อ มีความสนุกมาเสิร์ฟตลอด สำหรับผมนี่เป็นช่วงเวลาที่หฤหรรษ์ดีครับ ดูแล้วเบาสมองดี คลายเครียดด้วย สนุกไปกับการตามปมด้วย ถือว่าครบรสหนังที่ตอบโจทย์ความบันเทิงครับ
ส่วนตอนจบนั้น ผมโอเคนะ แต่ก็เชื่อว่าหลายคนอาจไม่โออันนี้ก็ต้องแล้วแต่ความชอบครับ – แต่สำหรับผมแล้ว ตอนจบแบบนี้ พร้อมประโยคปิดตอนจบ… ผมว่ามันก็สื่ออะไรได้อย่างน่าสนใจนะ
ลืมบอกไป หนังกำกับโดย Dupontel คนที่แสดงเป็นคุณคูชัสนั่นแหละครับ ถือว่าคุมหนังได้ดี เอาหนังได้อยู่ ดูเพลินก็ได้ ดูเอาแง่คิดก็ได้ โดยเฉพาะแง่คิดที่เรามักเห็นบ่อยๆ เกี่ยวกับประเด็นที่ว่า “ถ้าคุณจะตายเร็วๆ นี้ คุณจะทำอะไรกับชีวิตบ้าง”
สองดาวครึ่งครับ

(7/10)
หมวดหมู่:Comedy, Drama, Movie Reviews, Recommended Movies










