
The Magnificent Seven ถือเป็นหนังคาวบอยระดับคลาสสิคที่อยากให้ทุกท่านลองชมสักครั้งคราครับ – ส่วนผมนั้นตอนดูรอบแรกผมก็เฉยๆ นะ ส่วนหนึ่งอาจเพราะดูระหว่างทำงานเลยไม่ได้มีสมาธิมากนัก แต่มารู้สึกชอบมากขึ้นตอนดูรอบหลังนี่แหละ มันตระหนักถึงความคลาสสิคของหนังเลย
หนังดัดแปลงมาจาก 7 เซียนซามูไร ของ Akira Kurosawa อีกทีครับ เรื่องเริ่มต้นที่เมืองเล็กๆ แถบเม็กซิโกที่กำลังโดน คัลเวร่า (Eli Wallach) หัวหน้าพวกโจรมาขู่เข็ญปล้นชิงจากชาวเมือง ถ้าใครคิดต่อต้านก็ต้องเจอลูกกระสุนเจาะร่าง ทีนี้เมื่อชาวเมืองถึงจุดสุนทนก็เลยรวบรวมของมีค่าและส่งคนออกจากเมืองไปหมายจะหาอาวุธมาสู้ แต่แล้วพวกเขาก็ได้เจอกับคริส อดัมส์ (Yul Brynner) มือปืนมาดสุขุม ที่ในเวลาต่อมาได้รวบรวมสมาชิกอีก 6 คนมาช่วยกันปกป้องชาวเมือง
มือปืนอีก 6 คนก็ได้แก่ วิน แทนเนอร์ (Steve McQueen) ที่คอยเคียงบ่าเคียงไหล่คริส, เบอร์นาโด้ (Charles Bronson) มือปืนระดับอาชีพที่กำลังต้องการเงิน, แฮร์รี่ ลัค (Brad Dexter) นักเสี่ยงโชคที่ในหัวชอบคิดแต่เรื่องเงินทอง, ลี (Robert Vaughn) อดีตทหารผู้มีความทรงจำอันเลวร้าย, บริตต์ (James Coburn) มือมีดระดับเซียน และชิโก้ (Horst Buchholz) เด็กหนุ่มเลือดร้อนที่ได้รับบทเรียนสำคัญจากคริส
หนังยาวประมาณ 2 ชั่วโมงกับ 8 นาทีครับ แต่บอกได้เลยว่าหนังมีอะไรให้ติดตามตั้งแต่เริ่มจนจบ ตอนเปิดเรื่องหนังก็ถ่ายทอดให้เราเห็นว่าชาวเมืองต้องกล้ำกลืนเพียงไหนกับการปล้นชิงของเหล่าโจร จากนั้นหนังก็เปิดตัวตัวเอกอย่างคริสและวิน ซึ่งเป็นการเปิดตัวอย่างเท่ห์เลยครับ เหตุการณ์มันจะประมาณว่าในเมืองตอนนั้นมีคนขวางไม่ยอมให้มีการฝังศพอินเดียนแดง ซึ่งใครๆ ก็ต่างไม่กล้าหืออือใดๆ จนกระทั่งคริสก้าวออกมาและรับอาสาจะขนศพไปฝังให้ได้ จากนั้นวินก็มาร่วมสมทบ แล้ว 2 สิงห์ของเราก็เคลื่อนรถม้าขนศพไปอย่างเท่ห์น่ะครับ แววตามุ่งมั่น มือกระชับปืนพร้อมยิง ใครยิงมาก็สวนกลับในบัดดล จนในที่สุดก็ไม่มีใครกล้าต่อต้านและศพชาวอินเดียนแดงผู้นั้นก็ได้รับการฝังอย่างถูกต้อง
ฉากแรกนี่ถือเป็นนามบัตรเท่ห์ๆ ที่หนังแนะนำคนดูให้รู้จักกับ 2 สิงห์ตัวนำแบบน่าจดจำ แต่มันยังไม่หมดแค่นั้นครับ เพราะอีก 5 สิงห์ที่เหลือหนังก็แนะนำได้อย่างน่าจดจำไม่แพ้กัน เวลาที่คริสและวินไปชวนเชิญแต่ละคนนั้นเราจะได้รู้จักตัวละครเหล่านั้นแบบคร่าวๆ ได้รู้นิสัยใจคอ ได้รู้ความสามารถ ครึ่งแรกของหนังใช้เวลาไปกับการเปิดตัวสิงห์แต่ละคนครับ และหนังก็เปิดตัวได้อย่างน่าติดตาม สมศักดิ์ศรีสิงห์แดนเสือ แม้จะมีบ้างบางคนที่อาจจะไม่ได้ดูเท่ห์เหมือนคนอื่น แต่หนังก็ฉลาดพอที่จะบอกใบ้ให้เรารู้ว่า คริสเองก็มองคนเป็นและพร้อมจะเปิดโอกาสให้คนหน้าใหม่มาร่วมงานเสมอ
ถัดจากช่วงแนะนำตัว 7 สิงห์ก็จะเดินทางไปสู่เมืองแห่งนั้นครับ ซึ่งพอพวกเขาไปถึงความน่าติดตามก็ผุดขึ้นมาในเวลาอันรวดเร็ว ไม่ใช่เพราะพวกศัตรูรีบบุกมานะครับ แต่เพราะช่วงที่ว่านี่หนังจะแสดงให้เราเห็นถึงไหวพริบปฏิภาณความเจนสนามของเหล่าสิงห์ทั้ง 7 ที่ไม่รอให้ศัตรูมาหาเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขาจะส่งคนไปสอดแนม รวมถึงวางคนไว้ตามจุดเปราะบางต่างๆ ของเมือง เพื่อที่หากพวกศัตรูเล็ดรอดโผล่หน้ามาเมื่อไร พวกเขาก็พร้อมจะสกัดกั้นและเล่นงานพวกมันได้อย่างทันท่วงที

เนี่ยครับ หนังมีอะไรให้ตามเรื่องอยู่เรื่อยๆ จุดเด่นอีกอย่างคือมิติตัวตนของ 7 สิงห์จะค่อยๆ เผยออกมา เราจะค่อยๆ รู้จักและผูกพันกับพวกเขามากขึ้นทีละน้อย ทำให้พอเรื่องดำเนินไปถึงตอนท้ายเราก็จะรู้สึกอยากเอาใจช่วย 7 สิงห์แดนเสือ และรู้สึกสะเทือนใจยามที่สิงห์ตนใดถูกเล่นงาน
ตามปกติเวลาดูหนังเก่าเนี่ยผมมักจะกลัวครับ กลัวว่าตัวเองจะเบื่อ เพราะจังหวะการเดินเรื่องของหนังเก่าๆ นั้นบางทีก็จะเอ้อระเหยลอยชาย ไปช้าๆ มาเชื่องๆ ทำให้เวลาจะดูหนังเก่าๆ ทีไรผมมักจะถูกเบรคด้วยความกลัวนี้แล้วก็หันไปเลือกดูหนังใหม่ๆ แทน แต่กับเรื่องนี้บอกเลยว่าจังหวะการเดินเรื่องแม้จะไม่เร็ว แต่หากท่านเป็นคนชอบดูหนังแบบใส่ใจรายละเอียด ท่านจะสนุกเพราะหนังมันมีอะไรให้ท่านสังเกตและพินิจพิจารณาอยู่เรื่อยๆ โดยส่วนตัวแล้วความน่าติดตามของหนังนั้นมันคือเรื่องบทและรายละเอียดนี่แหละครับ
หนังจัดว่าชวนติดตามไปจนจบครับ ช่วงท้ายก็มีฉากไล่ยิงกันตามสไตล์หนังคาวบอย ซึ่งอาจจะไม่ได้เมามันส์มากมาย แต่ก็ถือว่าใช้ได้ครับ และหนังยังมีการไล่ระดับความตื่นเต้นด้วย เพราะตอนท้ายเจ็ดสิงห์ของเราไม่ได้บู๊กับผู้ร้ายทีเดียวแบบรวดเดียวจบ มันจะมีสถานการณ์ที่พลิกผันระหว่างทาง อย่างตอนแรกหนังแสดงให้เราเห็นถึงความเจนสนามของเหล่าสิงห์ ครั้นมาตอนหลังหนังก็ทำให้เราเห็นครับว่าพวกเหล่าร้ายอย่างคัลเวร่านั้นก็ไม่ใช่กระจอก มันก็มีลูกเล่นในการพลิกเกมจนทำให้เหล่าสิงห์จนมุมอยู่เหมือนกัน
หนังเลยถือว่าครบรสครับ มีทั้งมิติตัวละครให้ดู มีแง่คิดฝากไว้ มีการขับเคี่ยวประลองกันระหว่างฝ่ายดีและฝ่ายร้าย ส่วนช่วงท้ายก็มีการต่อสู้แบบเด็ดขาด มีการเสียสละแบบเอาชีวิตเข้าแลก บางครั้งเพื่อศักดิ์ศรี และบางครั้งก็เพื่อพิทักษ์ผู้บริสุทธิ์ ซึ่งผมไม่ปฏิเสธครับว่าฉากไคลแม็กซ์ตอนท้ายนั้นอาจยังไม่เข้มนักในแง่อารมณ์ ไม่ได้บิ้วให้คนดูอินแบบจัดๆ แต่ถ้ามองในฐานะหนังสมัยก่อนแล้ว ทำได้ระดับนี้ก็ถือว่าดีแล้วครับ (หนังฟากมะกันนั้น มีน้อยเรื่องครับที่จะบิ้วอารมณ์คนดูแบบเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งจะต่างจากหนังฟากเอเชียพอสมควร)
ของดีอีกหนึ่งอย่างก็คือดนตรีโดยฝีมือของ Elmer Bernstein ครับ เพลงธีมของหนังนี่ถือว่าอมตะอย่างแท้จริง มีทั้งความยิ่งใหญ่ ทรงพลัง ได้บรรยากาศคาวบอยตะวันตกทุกครั้งที่ได้ยิน จนไม่แปลกใจที่หนังจะได้เข้าชิงออสการ์ในสาขาดนตรีประกอบยอดเยี่ยม (ปีนั้นที่เข้าชิงนี่ของใหญ่ทั้งนั้นครับ ทั้ง The Alamo, Elmer Gantry และ Spartacus ส่วนเรื่องที่คว้ารางวัลไปคือ Exodus ครับ) – แอบกระซิบครับว่าลองเอาเพลงนี้ไปเปิดฟังตอนเดินทางไปไหนสักแห่งไกลๆมันจะบิ้วอารมณ์ได้อย่างเจ๋งเลยล่ะครับ

สำหรับเกร็ดเบื้องหลังของหนังเรื่องนี้นั้น ก็เริ่มกันที่ Yul Brynner ครับ นายคนนี้นี่เองที่เป็นคนเอาไอเดียว่าจะทำหนังคาวบอยโดยดัดแปลงจาก 7 เซียนซามูไร ไปเสนอกับผู้อำนวยการสร้าง Walter Mirisch และมือเขียนบท Walter Bernstein ก็ได้รับหน้าที่ในการดัดแปลงจากบทหนังดั้งเดิมมาสู่เรื่องใหม่นี้ แต่ในที่สุดบทที่ว่าก็ไม่ได้ใช้ครับ แล้วหน้าที่ดัดแปลงบทก็ตกเป็นของ Walter Newman (The Man with the Golden Arm) กับ William Roberts แทน แล้วหนังก็ออกมาเป็นอย่างที่เราเห็นนี่แหละครับ – และว่ากันว่ามีอยู่หลายครั้งทีเดียวที่บทจะถูกปั่นในตอนกลางคืน ก่อนจะถูกนำไปใช้ถ่ายทำในเช้าวันถัดไป
และอย่างที่บอกไปครับว่า Brynner เป็นเจ้าของไอเดียและเป็นดารามีชื่อ เขาเลยมีอำนาจในการตัดสินใจสูงครับ และการที่ McQueen ได้มาเล่นหนังเรื่องนี้ก็เพราะ Brynner นี่แหละเป็นคนคัดเข้ามา แต่กลายเป็นว่า Brynner เองก็คาดไม่ถึงครับว่าในภายหลังเขากับ McQueen จะมีการงัดข้อประลองกำลังกันจนทำเอากองถ่ายป่วนไปหมด
กล่าวกันว่า McQueen เองไม่พอใจที่บทของ Brynner มีความเด่นมากกว่า McQueen เลยพยายามขโมยซีนในหลายวาระ ทำให้ความสัมพันธ์ในกองถ่ายของพวกเขาแย่ลงเรื่อยๆ และเรื่องหนักหนาถึงขั้นว่ามีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเลยนะครับ คือมีทั้งคนที่ถือหางข้าง Brynner และคนที่เข้าข้าง McQueen และทั้งสองฝ่ายต่างก็พยายามแย่งกันเด่น โดยเฉพาะในฉากสตันท์ต่างๆ นี่พวกเขาก็วาดลีลากันเต็มที่เพื่อแย่งสายตาผู้ชม
หรือในบางฉากกระทั่งเรื่องใส่หมวก-ถอดหมวก พวกเขาก็ยังมีประเด็นให้ขัดแย้งกันครับ ประมาณว่า McQueen จะถอดหมวกตัวเองออกในบางซีนแล้วก็จะแสดงโดยใช้หมวกเป็นองค์ประกอบ จนในที่สุด Brynner เองต้องเอ่ยปากว่า “ถ้าคุณยังไม่หยุด ผมจะถอดหมวกมันทั้งเรื่องเลย แล้วคนดูก็จะไม่มองคุณไปตลอดทั้งเรื่องด้วย” เพราะ Brynner หัวล้านน่ะครับ ถ้าเขาถอดจริงความเด่นก็จะเทไปที่เขาอย่างไม่ต้องสงสัย
และคนที่ปวดหัวที่สุดก็คือผู้กำกับ John Sturges ครับ เพราะกลายเป็นว่าเขาแทบจะไม่สามารถควบคุมอะไรๆ ในกองถ่ายได้เลย – แต่สุดท้ายเขาก็พยายามทำอย่างเต็มที่ครับ พยายามรับมือประสานประโยชน์คนทั้งสองฝ่าย จนสามารถทำหนังสำเร็จออกมาได้ในที่สุด
และเมื่อหนังได้ฤกษ์ออกฉายในอเมริกา กลายเป็นว่ารายได้ของหนังไม่สวยงามนักครับ หลายฝ่ายถึงกับตราหน้าเลยว่าหนังทำเงินได้น่าผิดหวัง แต่กลายเป็นว่าหนังไปทำเงินถล่มทลายในแถบยุโรปครับ มีการบันทึกไว้เลยว่าหนังเรื่องนี้ขายตั๋วได้กว่า 7.3 ล้านใบในอิตาลี, กว่า 7 ล้านใบในฝรั่งเศส, กว่า 7.7 ล้านใบในอังกฤษ และขายตั๋วได้แบบถล่มทลายถึง 67 ล้านใบในโซเวียต ส่งผลให้หนังสามารถพลิกสถานการณ์จากไม่คุ้มทุนตอนฉายในบ้าน กลายเป็นหนังฮิตถล่มทลายเมื่อฉายนอกอเมริกา

แม้ว่าหนังจะได้รับคำวิจารณ์ทั้งบวกและลบผสมกันไป และแม้ว่าเบื้องหลังในกองถ่ายจะเต็มไปด้วยความวุ่นวาย แต่สำหรับ John Sturges แล้ว เขาหายเหนื่อยทันทีด้วยหนึ่งเหตุผลครับ – นั่นคือหลังจาก Akira Kurosawa ได้ดูหนังเรื่องนี้แล้ว เขารู้สึกประทับใจครับ และเขาได้ส่งดาบทำพิเศษเล่มงามมอบให้กับ Sturges เป็นของที่ระลึก แน่นอนว่า Sturges ปลื่มปริ่มเป็นที่ยิ่งครับ
และเรื่องราวระหว่าง Brynner กับ McQueen ก็ยังไม่จบนะครับ ยังมีเรื่องต่อมาอีกหน่อย นั่นคือในปี 1980 ตอนที่สุขภาพของ McQueen กำลังทรุดโทรมอันเนื่องมาจากมะเร็ง ตอนนั้น McQueen ตัดสินใจติดต่อ Brynner เพื่อเอ่ยคำขอบคุณ
Brynner ก็งงครับ เลยถามไปว่า “ขอบคุณเรื่องอะไร?”
McQueen ตอบว่า “คุณน่ะ จะเตะผมออกจากหนัง (หมายถึงหนังเรื่องนี้นี่แหละครับ) เมื่อไรก็ได้ แต่คุณก็ยังปล่อยให้ผมอยู่ในกองต่อ และหนังเรื่องนั้นก็สร้างชื่อให้ผม… ผมเลยอยากจะขอบคุณน่ะ”
Brynner เงียบไปนิดนึง ก่อนจะตอบว่า “ตอนนั้นน่ะ ผมก็เหมือนกษตริย์ ส่วนคุณก็เหมือนเจ้าชายหัวขบถ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอยู่ตลอดนั่นแหละ”
McQueen ก่อนจากไป ก็ยังย้ำครับว่า ถ้าไม่มี Brynner เขาก็คงไม่ได้ร่วมแสดงใน The Magnificent Seven เป็นแน่ เรียกว่าในนาทีสุดท้ายของชีวิต 2 สิงห์แดนเสือต่างก็ให้อภัยต่อกันในที่สุดครับ
ผมไม่อาจการันตีครับว่าท่านจะชอบหนังเรื่องนี้หรือไม่ อย่างผมเองก็เคยเฉยกับหนังเรื่องนี้มาก่อน แล้วก็กลายเป็นชอบเมื่อดูรอบสอง แต่กระนั้นก็อยากให้ท่านได้ลองครับ โดยเฉพาะคอหนังคาวบอยตะวันตก ถือเป็นหนึ่งในงานคลาสสิคสำหรับสายนี้เลยครับ
สองดาวเศษสามส่วนสี่ดวงครับ

(7.5/10)
หมวดหมู่:Action, Adventure, Drama, Movie Reviews, Recommended Movies, Western










