
ดูหนังวันคริสต์มาสทุกวันตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมมา ถ้าไม่นับหนังเก่าที่เคยดูแล้วชอบ ก็ยังไม่เจอเรื่องที่ถูกใจจริงๆ จังๆ สักที ส่วนใหญ่จะเกือบๆ แค่เกือบๆ จนกระทั่งได้ดู Christmas Joy นี่แหละครับ ถึงพูดได้เต็มปากว่าเจอหนังแนวนี้ที่กลมกล่อมเข้าให้แล้ว
จอย ฮอลบรุค (Danielle Panabaker) นักวิจัยการตลาดในวอชิงตัน ดี.ซี. ได้รับการติดต่อจากคนที่เมืองคริสตัลฟอลส์ว่าป้ารูบี้ (Beverley Elliott) ประสบอุบัติเหตุจนต้องเข้าโรงพยาบาลด่วน ด้วยความเป็นห่วงจอยเลยรีบขับรถไปทันที ซึ่งก็ยังดีครับที่ป้าไม่เป็นอะไรมาก แต่ทีนี้ป้ารูบี้เธอมีเรื่องห่วงอยู่ คือเธอต้องจัดงานคริสต์มาสคุกกี้ครอว์เป็นประจำทุกปี แต่ปีนี้เธออยู่โรงพยาบาลจัดงานไม่ได้ เลยขอแรงให้จอยช่วยครับ ซึ่งแน่นอนว่าจอยพร้อมช่วยอยู่แล้ว
แล้วจอยก็ต้องจัดงานแบบคลำทางเอา (เพราะไม่เคยจัดมาก่อน) ยังดีที่มีเบน แอนดรูว์ส (Matt Long) เพื่อนเก่ามาช่วยชี้แนะแนวทางให้ แล้วก็ตามสูตรครับ สองคนนี้ต้องรักกันแหงๆ – แล้วหนังยังมีรายละเอียดปลีกย่อยในเนื้อเรื่องอีกครับ แต่แนะนำว่าลองไปดูไปรู้เองน่าจะได้อรรถรสกว่า
หนังเรื่องนี้ทำให้ผมตระหนักครับว่า หนังที่จะสนุกได้เนี่ย บทมันต้องแน่นในระดับหนึ่ง ในฐานะที่ดูหนังรัก Hallmark มาเยอะ เส้นแบ่งเลยว่าเรื่องไหนจะเข้าท่าหรือยังดีได้อีกก็คือบท ถ้าเรื่องไหนไม่มีบท ไม่มีรายละเอียด แล้วก็ให้พระนางมาใช้เวลากันไปเรื่อยๆ สวีทไปเรื่อยๆ จนจบ หนังแบบนั้นแม้จะพอดูได้แต่ก็จะไม่ทำให้ประทับใจอะไร แต่หากเรื่องไหนบทมีรายละเอียด หรือพูดชัดๆ คือมีอะไรให้พระ-นางต้องทำเยอะหน่อย หนังก็จะน่าสนใจ เพราะมันมีประเด็นขับเคลื่อน มีสถานการณ์มาทำให้เราได้รู้จักพระ-นางมากขึ้น แล้วความสนุกชวนติดตามมันก็จะไหลมาเทมาเอง
แล้วเรื่องนี้ก็เข้าอีหรอบ “บทดีมีรายละเอียด” ครับ คือไม่ใช่แค่จอยช่วยดูป้าแล้วช่วยจัดงานแล้วจบ มันยังมีการที่จอยต้องเรียนรู้ในการจัดงานนี้โดยเริ่มจากศูนย์ แล้วก็ยังมีเรื่องความสัมพันธ์กับเบนที่ตอนแรกเหมือนจะกัดกันนิดๆ แต่พอต่างฝ่ายต่างช่วยกัน สายสัมพันธ์อันดีมันก็เริ่มก่อตัว แล้วตัวเบนเองก็มีเรื่องต้องให้จอยช่วยด้วยเหมือนกัน – มันเหมือนกับไม่ใช่แค่ให้พระ-นางมาใช้เวลาร่วมกันเท่านั้น แต่ระหว่างทางพวกเขาก็จะได้เรียนรู้กันและกัน รู้จักกันและกัน เห็นตัวตนกันและกัน ว่าง่ายๆ คือเราจะเห็นความสัมพันธ์ทั้งคู่เดินไปข้างหน้าแบบมีเหตุมีผลน่ะครับ ไม่ใช่แค่ให้พวกเขามาอยู่ร่วมกันแล้วก็รักกันตามที่บทหนังกำหนด
แล้วผมชอบคาแรคเตอร์พระนางในเรื่องด้วยครับ พวกเขาเคมีเข้ากัน แต่ก็ไม่ได้ดูเข้ากันได้ตั้งแต่แรกนะ ตอนต้นๆ มันจะมีจุดเหลื่อมจุดเลื่อนกันอยู่ แต่พอพวกเขาผ่านอะไรๆ ร่วมกัน ก็จะเริ่มปรับเข้าหากัน ทีนี้พวกเขาก็จะดูเข้ากันมากขึ้นๆ จนเราอดไม่ได้ที่จะเชียร์น่ะครับ เพราะคู่นี้น่ารัก แล้วระหว่างทางคนดูอย่างเราๆ ก็จะได้รู้จักพวกเขามากขึ้น อย่างจอยนี่เป็นสาวเก่ง หัวไว ทำงานด้วยความตั้งใจ สดใสและขยัน เจอเรื่องยากเรื่องเหนื่อยก็ไม่ท้อ ไม่รู้นะ ผมว่าคาแรคเตอร์ของเธอดูแล้วเพลินดี – คือนึกออกไหมครับว่ามันไม่ใช่ทุกคาแรคเตอร์จะน่าสนใจเสมอไปนะ บางคนดูแล้วเฉยๆ ก็มี แต่กับจอยนี่คาแรคเตอร์เธอดูมีชีวิตชีวา เป็นธรรมชาติดี แน่นอนว่าก็ต้องชม Panabaker ด้วยล่ะครับ บทแบบนี้เหมาะกับเธอจริงๆ

ส่วนพระเอกอย่างเบนก็ดูมีเสน่ห์ เป็นแมนแบบน่ารักๆ มีความอ่อนโยนใส่ใจ ผสมกับความกร้าวนิดๆ แล้วที่สำคัญคือหนังให้เบนมีปมเกี่ยวกับเรื่องความรักด้วยน่ะครับ เลยทำให้การแสดงออกบางอย่างของเขาดูมีเหตุผล ไม่ได้เป็นไปแค่เพราะบทกำหนด
ผมอาจย้ำคำว่า “บทกำหนด” ค่อนข้างบ่อย แต่มันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ครับ คือหนังรักแนวนี้ส่วนใหญ่ในระยะหลังน่ะ มันมักจะเดินเรื่องแบบ “บทกำหนด” เปิดมากำหนดให้นางเอกเป็นแบบนี้ เจอพระเอกแบบนี้ ไม่ถูกกันแบบนี้ เริ่มถูกกันแบบนั้น แล้วก็จบลงแบบนี้ คือมันเป็นไปตามที่บทเขียน แต่มันไม่ได้มาพร้อมอารมณ์ ไม่ได้ทำให้เราอิน หนังบางเรื่องก็เหมือนรีบทำออกมาเพื่อป้อนตลาด แล้วก็คิดว่าแค่ใช้สูตรประจำแล้วน่าจะพอ แต่มันไม่ใช่น่ะครับ บทน่ะกำหนดได้ แต่มันต้องมาพร้อมปัจจัยแวดล้อมที่สอดคล้อง คนดูพอดูแล้วจะได้ยอมรับและคล้อยตาม
และเรื่องนี้ก็เป็นแบบนั้นสำหรับผมครับ คือดูแล้วสนุก เพลิน คล้อยตามเรื่องราว ดูแล้วรู้จักคาแรคเตอร์ตัวละคร จนในที่สุดก็อยากเอาใจช่วยให้พวกเขาสมหวังกัน แม้จะรู้ตั้งแต่ในมุ้งแล้วก็เถอะว่าพวกเขาต้องรักกันแน่ แต่มันก็อดลุ้นไม่ได้ – ของแบบนี้เรียกว่า “อิน” ครับ
แล้วหนังไม่ได้ดีแค่นั้น นอกจากพระนางจะเอาอยู่แล้ว องค์ประกอบอื่นๆ ล้วนเข้าข่ายดี ไม่ว่าจะเมืองคริสตัลฟอลส์ที่ผมว่าน่าอยู่นะ บรรยากาศในเมืองดีมาก ผู้คนก็มีอัธยาศัย อ้า ใช่ พูดถึงผู้คนก็ต้องพูดถึงบทสมทบ เรื่องนี้บทสมทบทั้งหลายถือว่าพอเหมาะ ช่วยเสริมรสชาติให้เรื่องราวได้อย่างดี คืออาจจะไม่ถึงขั้นขโมยซีนนะครับ แต่ก็อยู่ในข่ายช่วยเพิ่มอารมณ์น่ารักอบอุ่นให้กับหนัง ไม่ว่าจะป้ารูบี้ (Elliott), เรเน่ (Shannon Chan-Kent) เพื่อนร่วมงานของจอย, ป็อบปี้ เวทเธอร์ตัน (Gabrielle Rose) เจ้าของห้างที่จอยทำงานให้ และดูจะเป็นคนที่ใส่ใจรายละเอียดมากๆ คนหนึ่ง, เอ็ด (Fred Henderson) และเชอร์ลี่ย์ (Susan Hogan) พ่อแม่ของเบน แต่ละคนล้วนมีวาระของตัวเองครับ มีบทบาทบนจอเยอะกว่าบทสมทบในเรื่องอื่นๆ
ดนตรีของ Patric Caird ก็พอเหมาะครับ เพิ่มบรรยากาศอบอุ่น Feel Good ได้ดีมาก เช่นเดียวกับผู้กำกับภาพ Toby Gorman ที่ภาพในแต่ละซีนถือว่ากำลังดี และผมต้องขอชมไปถึงคนตัดต่ออย่าง Charles Robichaud ด้วย คือมันรู้สึกเลยน่ะครับว่าเรื่องนี้มีการลำดับภาพที่พอเหมาะกว่าหลายๆ เรื่อง มันสมูธ มันลำดับเรื่องราว – รวมถึงลำดับการแสดงออกของตัวละคร – ได้ดี และทำให้หนังน่าติดตามน่ะครับ

ยังไม่หมดครับ หนังคริสต์มาสแบบนี้ของที่ขาดไม่ได้คือภาพบ้านประดับไฟสวยๆ ท่ามกลางหิมะโปรยปราย และหนังก็จัดซีนแบบนั้นใส่จอให้เราดูแบบอิ่มตาเลยครับ ได้บรรยากาศคริสต์มาสอย่าบอกใคร และที่ผมยกนิ้วให้เลยคือภาพงานคริสต์มาสคุกกี้ครอว์ที่จอยตั้งใจจัดน่ะครับ คือจริงๆ ผมไม่คาดหวังเลยนะ เพราะเข้าใจว่าหนังลงจอแบบนี้ทุนไม่ได้เยอะอะไร จะเนรมิตอะไรมากก็ไม่ได้ และฉากงานสำคัญตอนท้ายก็มักจะทำออกมาแค่ให้ดูโอเคในระดับหนึ่ง แต่อาจไม่ถึงขั้นว้าวอะไร แต่กับเรื่องนี้นี่งานอย่างสวยอ้ะครับ สวยจริงๆ จัดได้น่ารักและน่าไปมาก คือถ้าทำได้นี่ผมเดินทะลุจอไปร่วมงานแล้วครับ
ดูเหมือนผมจะชอบหนังไปหมด ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ น่ะครับ เพราะนี่เป็นบทความผม ก็ว่าไปตามที่ผมรู้สึก และผมชอบหนังเรื่องนี้จริงๆ ดูแล้วมันอิ่มใจ อบอุ่น มีความสุข ไหนจะมีสิ่งที่เบนให้เป็นของขวัญกับจอยอีก คือมันเป็นอะไรที่น่ารักน่ะครับ แล้วความหมายดีด้วย ชอบจริงๆ (เดี๋ยวผมบอกอีกทีว่ามันคืออะไรในโซนสปอยล์ครับ – ใครยังไม่ดูแต่อยากรู้ก็ตามไปอ่านนะครับ)
ยังมีอีกครับ จุดที่ผมชอบที่สุดยกให้ตอนจบ คือปกติหนังแนวนี้มักจบลงที่ พระเอกจูบนางเอก แล้วจอก็ดำ End Credits ก็ขึ้นใช่ไหมฮะ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ครับ กลายเป็นว่าพอพระเอกจูบนางเอกแล้ว หนังก็ตัดกลับเข้าไปในงานครอว์อีกครั้ง ให้เราได้เห็นว่าตัวละครอื่นๆ กำลังทำอะไรกัน ฉายบรรยากาศในงานอีกรอบ ก่อนจะจบด้วยการที่หนังตัดมาด้านนอกของาน เราจะได้เห็นเบนและจอยกอดกัน และมองเข้าไปในงานอย่างมีความสุข แล้วกล้องก็ค่อยๆ แพนออกมาให้เราเห็นอาคารที่จัดงานแห่งนั้นแบบเต็มๆ ซึ่งมันประดับด้วยไฟอย่างสวย… แล้วหนังก็จบครับ
บอกตรงๆ นะครับ หนังจบแบบตั้งใจจบน่ะ เปรียบได้กับเครื่องบินที่แลนดิ้งแบบนิ่มๆ – ผมชอบแฮะ มันจบเหมือนหนังโรงเลย
เกือบลืมบอกชื่อผู้กำกับครับ เธอคือ Monika Mitchell ที่ทำหนังแนวนี้รวมถึงซีรี่ส์ทีวีอื่นๆ มาเยอะ ในเวลาต่อมาเธอได้ไปกำกับ The Knight Before Christmas รวมถึงบางตอนของ Firefly Lane และ Virgin River ด้วยครับ
มีโอกาส อยากให้ได้ดูกันครับ
สองดาวครึ่งครับ

(7/10)
=============
=============
สปอยล์นิดหน่อยนะครับ
=============
=============
เรื่องของขวัญที่เบนมอบให้จอยนั้น มันมีที่มาครับ คือจะมีของชิ้นหนึ่งที่จอยค่อนข้างหวง คือของประดับต้นคริสต์มาสชิ้นหนึ่งที่แม่ได้ให้จอยไว้ ทีนี้ตอนกลางเรื่องเบนทำมันแตกโดยไม่ตั้งใจครับ แน่นอนว่าเขาเสียใจ และพยายามเก็บเศษที่แตก ตอนแรกผมก็นึกว่าเบนเก็บเศษไปทิ้งแล้วจะพยายามหาซื้ออันใหม่ให้ แต่ไม่ใช่ครับ กลายเป็นว่าเบนเอาเศษที่แตกนั้นไปประดิษฐ์เป็นของอีกชิ้น
ของชิ้นนั้นคือหัวใจไม้ชิ้นหนึ่งแล้วตรงกลางหัวใจนั้น เบนใช้เศษแก้วที่แตกมาประกอบเข้าด้วยกัน – สื่อความหมายมันคือ เบนนั้นเคยผิดหวังในความรักมาแล้ว จนต้องแยกทางกับภรรยา หัวใจเขาก็เหมือนเศษแก้วที่แตกสลายจนไม่กล้ารักใครอีก (นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมตอนที่พวกเขาเกือบจูบกัน แต่เบนกลับปลีกตัวออกมา – เขายังกลัวครับ)
แต่เมื่อเขามอบของขวัญชิ้นนี้ให้จอย มันคือการสื่อบอกว่า บัดนี้หัวใจที่แตกของเขา ได้ถูกประกอบขึ้นใหม่อีกครั้ง ก็เพราะจอย
มีความหมายอย่างยิ่งครับ ^_^










