Comedy

The Farewell (2019) กอดสุดท้าย คุณยายที่รัก

Untitled06927

ก่อนที่ท่านจะดูเรื่อง The Farewell นี้ คำถาม 2 ข้อที่ผมอยากให้ท่านถามตัวเองก่อนดูก็คือ

ข้อ 1 ท่านเป็นคนเซ็นซิทีฟ-อารมณ์อ่อนไหวไหมครับ ถ้าคำตอบคือไม่ ก็ผ่านไปอ่านย่อหน้าต่อไปได้เลย แต่หากท่านอารมณ์อ่อนไหวง่ายก็ต้องขอถามต่อข้อ 2 ว่า หลังจากท่านดูจบแล้ว ท่านมีใครให้กอด ให้คุยด้วยไหมครับ (เพื่อนก็ได้ คนในครอบครัวก็ได้) – ถ้าคำตอบคือไม่มี ผมว่าท่านรอสักนิดครับ รอให้มีคนพร้อมคุยกับเราแล้วค่อยดู หรือถ้าไม่มีจริงๆ ก็ขอให้ดูตอนกลางวันครับ ให้พอดูจบแล้วท่านสามารถออกไปเปลี่ยนบรรยากาศนอกบ้านได้ ไปกิน ไปเที่ยว ไปเดินเล่น อะไรก็ได้ – จะได้บรรเทาอารมณ์อึนๆ ที่อาจจะเกิดกับท่านหลังดูจบ

… หรือไม่แน่ว่า พอท่านดูหนังจบ ท่านอาจเจอเคล็ดกระบวนท่าวิชาขับไล่ความอ่อนล้าหรือความเศร้าหมองหดหู่ในใจก็เป็นได้

พล็อตของหนังเล่าได้ง่ายๆ ครับ บิลลิ (Awkwafina) หญิงสาวที่โตมาในอเมริกาได้รู้ข่าวว่าคุณย่า (Zhao Shu Zhen) เป็นมะเร็งและน่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน เธอและครอบครัวเลยเดินทางไปเยี่ยมคุณย่าที่ประเทศจีน – แต่ประเด็นคือทุกคนปิดไม่ให้คุณย่ารู้ครับว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ทุกคนเลยพยายามทำตัวเป็นปกติที่สุดซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะกับบิลลิที่รักคุณย่าสุดหัวใจ และนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอได้เจอคุณย่าด้วย

หนังปรุงน้อยครับ ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาขยี้เรื่องจนดูดราม่า แต่จะนำเสนอแบบเดินเรื่องไปเรื่อยๆ เน้นให้ดูสมจริง แล้วก็ให้เหล่าดาราแสดงอารมณ์กันไป แต่ถึงจะไม่ขยี้และไม่ปรุงเยอะ ทว่าหนังก็สามารถทำให้เราซึมซับเรื่องราวและอินได้พอสมควร ซึ่งก็ต้องยกนิ้วให้เหล่านักแสดงที่ร่วมกันทำให้ภาพตรงหน้ามันดูจริง มันดูเหมือนคนในครอบครัวๆ หนึ่งไปเจอกันเพื่อดูใจญาติผู้ใหญ่ที่กำลังจะจากไป มีทะเลาะเบาะแว้งขัดแย้งกันบ้างตามประสาคนครอบครัวเดียวกัน ส่วนคุณย่าก็ก็น่ารักครับ เธอแสดงออกถึงความรักที่มีต่อลูกหลาน เป็นคุณย่าใจดีจนไม่แปลกใจเลยที่บิลลิจะรู้สึกอยากเจอคุณย่าทันทีที่รู้ข่าว ทั้งๆ ที่้เธอกับคุณย่าอยู่กันคนละฟากของโลก

Untitled06928

ยอมรับครับว่าผู้กำกับ Lulu Wang เล่าหนังได้อย่างพอเหมาะ อาจมีบ้างบางโมเมนต์ที่ผมอยากให้เธอปรุงหนังเพิ่มอีกสักนิด แต่พอได้ดูจนจบผมก็ตระหนักว่าจังหวะในการเล่าทั้งหมดมันพอดีแล้วครับ ไม่ต้องมากกว่านี้หรอก ประมาณนี้แหละดีแล้ว – มันทำให้เรารู้สึกประหนึ่งเพิ่งได้เฝ้าดูชีวิตของครอบครัวหนึ่งจริงๆ ซึ่งก็สมเหตุสมผลครับ เพราะเรื่องราวในหนังก็มีเค้าโครงจากชีวิตจริงของ Wang นั่นแหละ

ผมชอบที่หนังแจกแจงตัวละครได้ดีครับ คืออาจไม่ถึงขั้นละเอียดยิบลงลึกแบบเต็มที่ แต่ก็ถือว่าพอให้เราได้รู้จักตัวตนคร่าวๆ ของคนในครอบครัวแต่ละคน แล้วหากเราพิจารณาดีๆ ก็จะทำให้เราเห็นแผนผังความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวนี้ ว่าที่คนนี้คิดแบบนี้มันเพราะอะไร หรือคนนั้นดูจะย้ำพูดย้ำทำถึงบางประเด็นบ่อยครั้ง เราก็จะพอเห็นเป็นเลาๆ ว่าเขาคนนั้นผ่านอะไรมา ถึงมีความคิดนี้เวียนซ้ำย้ำอยู่ในหัว – ดีไม่ดีการดูแผนผังคนในครอบครัวนี้ อาจทำให้คุณเห็นแผนผังความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวคุณมากขึ้นบ้างก็เป็นได้นะครับ

นอกจากนี้ผมยังรู้สึกว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจเราหลังดูจบนั้นมันก็บ่งบอกถึงความเป็นเราได้ในระดับหนึ่ง การย้อนรำลึกถึงฉากต่างๆ ในหนังที่เราจดจำได้หรือรู้สึกว่ามันส่งแรงสะเทือนถึงจิตใจเราในแง่หนึ่งก็สะท้อนสิ่งที่อยู่ในหัวและความรู้สึกนึกคิดของเราได้ – ส่วนตัวแล้วผมมองว่าหนังนอกจากจะบอกเล่าเค้าโครงชีวิตของผู้กำกับแล้ว ยังชี้ชวนให้เราสำรวจตัวเอง สำรวจว่าเราโตมาอย่างไร สำรวจว่าครอบครัวเราเป็นอย่างไร สำรวจว่าความสัมพันธ์ในหมู่เครือญาติของครอบครัวเราเป็นเช่นไร

อาจเพราะผู้กำกับค่อนข้างกระจ่างในสิ่งที่เธอเล่า ก็เลยพลอยทำให้คนดูอย่างเราๆ พลอยกระจ่างถึงบางอย่างในชีวิตและครอบครัวตามไปด้วย

หนังแสดงให้เราเห็นถึงวิถีหลายอย่างของชาวจีนครับ แล้วก็มีการสะท้อนมุมมองที่แตกต่างอย่างตอนที่คนในครอบครัวนั่งเถียงกันว่าอะไรคือสิ่งที่เหมาะควรกว่ากัน ระหว่างการใช้ชีวิตอยู่ใกล้บุพการีอยู่ในเมืองจีน หรือย้ายไปอยู่ประเทศที่ห่างไกล (โดยไม่ได้อยู่ดูแลพ่อแม่) เพื่อแสวงหาความรุ่งเรืองและมั่งคั่ง ซึ่งต่างคนก็ต่างมุมมองกันไปครับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่คนๆ หนึ่งเลือกทางเดินหรือตัดสินใจที่จะทำบางอย่างนั้น มันก็สะท้อนถึงตัวตนของตนเองไม่มากก็น้อย

และสิ่งหนึ่งที่หนังบอกเราดังๆ ก็คือ หากท่านยังมีเวลา ยังสามารถดูแลและอยู่ใกล้คนที่เรารักได้ ขอให้ฉวยโอกาสนั้นไว้ อย่าปล่อยมันลอยผ่านไป เพราะวันใดคนที่เรารักนั้นไม่อยู่ในโลกแล้ว ต่อให้กู่ร้องก้องฟ้า ร้องขอด้วยเสียงอันดังเพียงใด มันก็ไม่อาจย้อนคืน

Untitled06929

ดูหนังเรื่องนี้แล้วอิ่มเอมอยู่ลึกๆ ครับ มันรู้สึกดีที่เราได้รับรู้เรื่องราวของครอบครัวนี้ (ที่บางสิ่งก็ทำให้เราย้อนมองชีวิตเราด้วยสายตาที่กระจ่างขึ้น) และมีความรู้สึกสุขปนเศร้าผสมเจืออยู่ ซึ่งผมว่านั่นแหละคือรสชาติที่แท้ของชีวิตนะ คือมันจะมีทั้งสุขและเศร้านั่นแหละ และรสชาติพวกนี้เองที่หล่อหลอมให้เราเป็นเราอย่างทุกวันนี้

ผมชอบอยู่หลายซีนครับ แต่อันหนึ่งที่ผมชอบและมักจะชอบเสมอหากมีซีนประมาณนี้ในหนัง ก็คือตอนบิลลิระลึกถึงบ้านเก่าของคุณย่า เป็นที่ซึ่งบิลลิเคยมีความสุขที่สุด แต่บัดนี้บ้านหลังนั้นได้หายไปแล้ว ที่ดินแปลงนั้นได้ถูกสร้างเป็นอย่างอื่นไปแล้ว – ในแง่หนึ่งมันสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่ตลอด โลกหมุนไปเรื่อยๆ มันคือเรื่องธรรมดาประการหนึ่ง

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้นะครับว่าสำหรับคนที่มีเรื่องเหล่านี้ในความทรงจำ มันจะไม่ใช่แค่เรื่องธรรมดา แต่มันคือเรื่องที่มีความหมายสำหรับคนผู้นั้น บางครั้งถึงขั้นเป็นเหมือนน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงในวันที่ใจหมดแรง…

หนังจบเรื่องราวด้วยเพลง Senza Di Te (Without You) เวอร์ชั่น Fredo Viola และปิดท้ายด้วยเพลง Pathetique เวอร์ชั่น Alex Weston ซึ่งไพเราะและเหมาะเจาะทั้งคู่ครับ โดยเฉพาะเพลงหลังนี่ถ้าใครอยากฟังลองเข้า Youtube ไปค้นได้เลยครับ “Pathetique Alex Weston” โดยส่วนตัวแนะนำให้ท่านฟังตอนพักกลางวันครับ ผมว่ามันจะเปลี่ยนบรรยากาศระหว่างวันให้ท่านได้อย่างดีเลยล่ะ

และสำหรับท่านที่ดูหนังจนจบแล้ว หากท่านรู้สึกอึนๆ รู้สึก Blue หรือวันไหนรู้สึกไม่สดใส อย่าลืมกระบวนท่าที่คุณย่าสอนนะครับ

“ฮ่าห์!!!!!!!!”

สองดาวสามส่วนสี่ดวงครับ

Star22

(7.5/10)

Untitled06930