
ถ้าพูดถึงหนังจีนกำลังภายในล่ะเห็นทีเรื่องนี้น่าจะดังที่สุดแล้วล่ะครับ เพลงก็ดังทำนองติดหู ตอนออกฉายก็ฮิตกันไประเบิดระเบ้อ ทำเอาฉีเส้าเฉียนดังค้างฟ้ามาจนทุกวันนี้ (แม้หลังๆ พี่แกจะกระเดียดไปทางพี่ Steven Seagal ก็เถอะ 555)
ส่วนผมนั้นว่าตามจริงคือเกิดไม่ทันตอนมันฉายทีวีหรอกครับ หรือทันแต่ไม่ได้ดูก็ไม่รู้ ที่แน่ๆ คือมาดูเอาตอนเป็น VDO ดูกันตาเหลือกเลย 30 ม้วน 60 ตอน สมัยนั้นถ้าจำไม่ผิดเขามีการแยกเป็นภาค 1 ตอน 1 และภาค 1 ตอน 2 ด้วย (แบ่งเป็นตอนละ 15 ม้วน)
สารภาพว่าตอนดูนั้นก็เก็ทบ้างไม่บ้างล่ะฮะ เอิ้กๆ อ้ากๆ ไปตามเรื่อง เห็นคนตีกันก็สนุกสนานมันส์ดี พวกสาระอะไรจำได้ไม่ค่อยแม่น แต่ก็พอจำเรื่องราวคร่าวๆ ได้
จากนั้นพอโตมาก็เริ่มชอบการอ่านนะครับ เลยไปคว้าเอาฉบับนิยายมาอ่านอีกที ปรากฎว่าชอบครับ สนุกดีสมคำร่ำลือจริงๆ ที่เขาว่าเป็นนิยายกำลังภายในที่ดีที่สุดของอึ้งเอ็ง อ่านแล้วติดเลยครับ ตอนนั้นกำลังอยู่ในช่วงสอบตอนแรกกะเข้าไปหาหนังสืออ่านเพิ่มเอาไปสอบ ดันไปติดกระบี่ไร้เทียมทานซะนี่
พออ่านจบก็เลยอยากลองหาฉบับหนังมาดูอีกทีครับ น่าสนุกดี
กับเรื่องราวคร่าวๆ ก็น่าจะทราบกันดีนะครับ พระเอกของเรื่องชื่อว่า ฮุ้นปวยเอี้ยง (ฉีเส้าเฉียน) ศิษย์ของสำนักบู๊ตึ้งที่ชอบโดนกลั่นแกล้งประจำ แต่เอาเข้าจริงพี่แกมีวรยุทธเป็นเลิศนะครับ เพราะมีชายชุดดำมาฝึกปรือให้เขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ก็ต้องปิดบังฐานะไว้เพราะชายชุดดำได้สั่งกำชับไว้เป็นมั่นเหมาะ
แล้วในช่วงนี้เองครับ ที่สำนักบู๊ตึ้งกำลังต้องรับศึกหนักจากสำนักบ้อเต๊ก พรรคมารที่ชอบใช้อำนาจข่มเหงชาวยุทธทั่วหล้า ซึ่งเจ้าสำนักบู๊ตึ้งนามแชซ้ง ได้แพ้พ่ายต่อต๊กโกวบ้อเต๊กมาหลายครั้งหลายครา และจากการประลองครั้งล่าสุด แชซ้งก็ยังแพ้ให้กับต๊กโกวบ้อเต๊กอีก หากครั้งต่อไปบู๊ตึ้งยังไม่สามารถเอาชนะบ้อเตีกได้ เห็นทีชะตากรรมของบู๊ตึ้งคงต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน
แต่เหมือนเคราะห์ยังกระหน่ำบู๊ตึ้งไม่เลิกรา เพราะหลังจากแชซ้งพ่ายต่อบ้อเต๊กแล้ว ก็ยังโดนคนตามล่าอีก ดีที่ได้จอมยุทธหนุ่มที่ชื่อโป่วเง็กจือมาช่วยเหลือไว้ และพาแชซ้งกลับมายังบู๊ตึ้งสำเร็จ
แต่หารู้ไม่ครับว่าภัยร้ายต่อบู๊ตึ้งเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น เรื่องเป็นไงต่อลองไปดูกันครับ บอกมากเดี๋ยวสปอยล์อีก
มันอาจเป็นข้อเสียประการหนึ่งของการอ่านนิยายมาแล้วครับ เพราะมันดันรู้เรื่องหมดแล้ว และอีกอย่างคือนิยายมักได้เปรียบเสมอ เพราะมันบรรยายและจินตนาการได้แบบไร้ขีดจำกัดมากกว่าน่ะฮะ ฉากตีกันและฉากบู๊เราจึงวาดภาพมันแบบถึงเครื่องถึงใจเพราะมันอยู่ในหัวเรา แต่กับหนังมันก็อีกเรื่อง
และผมว่าก็เป็นทุกข์อย่างหนึ่งของคนรุ่นใหม่จริงๆ แหละครับ ที่เวลาย้อนไปดูหนังเก่าๆ มันจะอดตะหงิดใจไม่ได้ เวลาดูฉากบู๊ที่ไม่ค่อยเนียน พวกฉากที่ดูออกชัดๆ ว่าเป็นฉาก และ Effect ที่ไม่ค่อยฉกาจฉกรรจ์ จะให้ดูพริ้วแบบฟงอวิ๋นยุคนี้มันก็ย่อมทำไม่ได้ล่ะจริงมั้ยครับ แล้วอายุอานามหนังชุดนี้ก็จะสามสิบปีอยู่แล้ว พวกเรื่องฉากบู๊และ Effect มันต้องทำใจกันเยอะหน่อย ซึ่งเรื่องพวกนี้พอทำใจได้
แต่ที่ทำใจไม่ได้คือ ความยืดนี่แหละครับ

ผมเข้าใจเลยว่าหนังชุดนี้ดังมาก ฮิตมาก จนช่วยต่อชีวิตช่องอาร์ทีวี (สมัยก่อน) ไปได้อีกยาว เพราะเนื้อหาของเรื่องก็ว่าไม่ได้ครับ มันสนุกจริงๆ เหมือนยำเรื่องต่างๆ เข้าด้วยกัน แต่ก็เอาจุดเด่นมาผสมไม่ว่าจะมุกการหักมุมตัวละคร หรือการมีมารยุทธภพ ตามด้วยการที่ตัวเอกโดนใส่ความ แล้วเอะอะก็มาเฉลยว่าใครเป็นพี่น้องกะใครอย่างเงี้ย มันยำรวมมิตรมุกหนังจีนอย่างเห็นได้ชัด แล้วก็แปลกดีเน้อะ แม้มุกจะเก่า แต่พอหนังเรื่องไหนเอามาใช้เรายังรู้สึกสนุกไปกะมันอยู่ดี
แต่ครับ แต่ที่บอกว่าสนุกนั่นคือเนื้อเรื่อง ผมว่ามันลื่นนะ บทเขียนได้ดีเลยล่ะ ตอนอ่านนิยายนี่ติดครับ สนุกมาก ส่วนหนังนี่แม้จะตามนิยาย แต่หลายๆ ส่วนบอกได้เลยว่ายืด คือเหมือนยืดแบบจงใจให้ลากฉายได้นานๆ (ประมาณเดียวกับตอน อกธรณี ยืดจาก 30 ตอน ยาวไปเป็น 50 ตอนน่ะแหละครับ) มันฮิตไงครับ แลวคนดูก็คงติด เลยยืดไปได้เรื่อยๆ บางฉากใส่เข้ามาก็อืดไม่ได้มีอะไรจำเป็นต่อเนื้อหาเท่าไหร่เลย แต่ก็ยังใส่ลงมา
เมื่อก่อนตอนเด็กดูแล้วเอิ้กอ้ากครับ แต่ตอนโตดูแล้วยอมรับว่ามีช่วงเบื่ออยู่เยอะ ผมว่าถ้าดูจากเนื้อหลักๆ ไม่ต้องยาวถึง 60 ตอนหรอกครับ แค่ 40 ตอนนี่ก็เกินพอแล้วน่ะ ช่วงต้นๆ เนื้อหายังพอทำเนาครับ ตอนบู๊ตึ้งมีภัย ตอนปวยเอี้ยงต้องพบกับความเศร้าและต้องรับศึกต่างๆ ทั้งการปรากฏของพรรคลึกลับอีกพรรคหนึ่ง (พรรคอะไรไปดูเองครับ บอกได้แค่ว่าตัวละคร “ลม ฝน ฟ้า ไฟ” นี่ผมชอบมากตอนเด็กๆ)
แต่หลังๆ นี่เริ่มไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ยิ่งตรงนิกายอนัตตานี่คือมันยืดแบบไม่จำเป็นจริงๆ
ถ้าให้ว่าตามจริงเลยคือหนังสนุกเป็นพักๆ ครับ ตอนไหนที่ฮุ้นปวยเอี้ยง, อี้ชงเทียน, ผู้เฒ่าแห่งพรรคลึกลับ (เขาสุขสันต์) นั่น, และต๊กโกวบ้อเต๊ก โผล่ขึ้นมา นั่นแหละถึงจะลุ้นได้ว่าเรื่องมันส์ๆ กำลังจะเกิด ในขณะที่ตัวละครอื่นโผล่มากลับเรื่อยๆ แต่ก็อย่างที่บอกครับเรามันหัวสมัยใหม่ไม่สามารถตัดสินอะไรได้หรอก คนสมัยก่อนอาจจสนุกกับแบบนั้นก็ได้ นี่ก็บอกให้คนรุ่นราวคราวเดียวกันฟังน่ะนะครับ
ส่วนเรื่องนักแสดงนั้นผมว่าไม่มีปัญหานะ ฮุ้นปวยเอี้ยงยังไงก็ต้องเป็นฉีเส้าเฉียนนี่แหละ ตอนแกดูเอ๋อๆ ก็น่ารักดีครับ พอมาตอนหลังก็ดูเท่ห์ไปเลยเหมือนกัน เสียแต่เอาเข้าจริงๆ หนังไม่ค่อยเน้นพี่ฮุ้นของเราเท่าไหร่น่ะครับ เน้นแค่แรกๆ หลังๆ นี่เรื่อยเปื่อยไปไหนก็ไม่รู้ ผมว่าการจัดแบ่งเกลี่ยบทก็เป็นปัญหาเหมือนกันล่ะครับ เพราะบางทีตัวละครบางตัวก็หายไปนานเลย นานเกินไปจนคนดูงง แล้วปัญหาคือตัวที่หายน่ะพระเอกด้วยนะครับ บทไม่ได้บอกว่าตายหรือเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ เหมือนหายไปเดินเล่นแล้วกลับมา มันเลยแปลกๆ น่ะครับ
อีกอย่างคือพอหนังเดินเรื่องไปถึงราวๆ ตอนที่สามสิบกว่าๆ ใครเคยดูแล้วย่อมทราบว่ามีการเปลี่ยนคนรับบทฮุ้นปวยเอี้ยง จากพี่ฉีเป็น กู้ก้วนจงไปแทน (คนที่หลังๆ จะมาโผล่บ่อยให้หนังเปาบุ้นจิ้นน่ะครับ และล่าสุดพี่แกไปเล่นหนังพวกตำนานพิศวาสหรือไม่ก็ชอลิ้วเฮียงภาคพิเศษไปซะแล้ว)
ซึ่งรายหลังมารับบทเป็นฮุ้นปวยเอี้ยงพอไหวครับ เพียงแต่เสียดายหน่อยๆ ถ้าหากเป็นพี่ฉีมาเล่นคงจะสนุกสนานกว่านี้ แต่ก็นั่นแหละ จริงๆ ผมว่าหนังมันทอนความสนุกลงเพราะการยืดเรื่องนี่แหละครับ
ส่วนบทก้วงตงลิ่ว ยอดฝีมือที่หยิ่งผยองก็รับบทโดย Lau Wai Mun รายนี้จะว่าไปก็เหมาะกับบทมากนะฮะ ท่าทางดูหยิ่งจริงๆ และดุร้ายลึกด้วย แต่ผมว่าตอนท้ายพี่แกก็ออกจะบทปวกเปียกเกินไป ไม่ได้หมายถึงอ่อนแอนะครับ แต่ตอนหลังๆ ผมว่าก้วงตงลิ่วหมดศักดิ์ศรีลงไปเยอะมาก คนละเรื่องกับตอนอ่านนิยายเลยครับที่ผมยังชอบตัวละครตัวนี้มากกว่าเยอะทีเดียว
บทโป่วเง็กจือก็ได้อู่เหว่ยกั๊วะเล่นไป พี่ท่านก็ดูองอาจสมบทเช่นกันครับ ตอนแรกผมชอบบทก้วงตงลิ่วนะ แต่พอดูๆ ไป พอบทเรื่องเริ่มยืดผมดันเริ่มมาชอบพี่โป่วคนนี้มากขึ้น เพราะบทของเง็กจือน่ะ พอยืดแล้วดูมีสมองครับ แต่กับก้วงตงลิ่วพอยืดดันดูไร้สมองซะนี่
แต่รายที่เด่นและเยี่ยมสุดๆ หนีไม่พ้นบทต๊กโกวบ้อเต๊ก (หยางเจ๋อหลิน) และอี้ชงเทียน (Pau Hon Lam) ศิษย์พี่ของแชซ้ง น่ะนะครับ สองคนนี้โผล่ทีไรสุดยอดทุกที และบทของโป่วเฮี้ยงกุน (หวีอันอัน) ก็น่ารักเหมือนกันครับ น่ารักมากๆ จนผมเชียร์ให้ปวยเอี้ยงชอบเธอมากกว่าต๊กโกวหง (เหมียวเข่อซิ่ว) ซะอีก
เอาล่ะครับ โดยสรุปนะ ผมว่าผมชอบตอนอ่านนิยายมากกว่าเพราะเนื้อหามันครบและมันส์ครับ อันนี้อยากให้ลองไปอ่านในนิยายกันมันลื่นกว่า และเนื้อหาก็เนื้อๆ สนุกกันเต็มๆ ไม่มีนอกเรื่องมาจนเกินไป ขนาดตอนศึกชิงบัวหิมะกลางเรื่องยังดูเป็นเนื้อเดียวเลยครับ แต่ในหนังพอถึงช่วงที่ว่ากลับรู้สึกเหมือนหนังจะหลุดจากความเป็น “กระบี่ไร้เทียมทาน” ไปไม่ใช่น้อย อีกอย่างในนิยายบรรยายไว้อย่างมันส์ครับ นอกจากนี้ฉากการต่อสู้ในนิยายยังออกมาสนุกกว่ากันมาก ไม่ใช่ผมจินตนาการแล้วมันส์เองนะครับ แต่ที่อึ้งเอ็งบรรยายน่ะสนุกมาก อย่างตอนถล่มเขาสุขสันต์นี่สาใจไปข้างหนึ่งเลยล่ะครับ
แล้วก็มีอะไรมาเล่าสู่กันฟังตามเรื่อง ว่าหนังเรื่องนี้ฮิตจริงๆ ครับ ฮิตมากจนทำเอาสถานีโทรทัศน์ช่องอื่นถอยรูด ขนาด TVB ที่ว่าแน่มาตั้งนานยังแตกพ่ายไปซะหลายเรื่อง แล้วด้วยความฮิตเกินไปทำให้ทีมงานตัดสินใจยืดเรื่องครับ จาก 30 ตอนมาเป็น 60 ตอน
แล้วทาง TVB หลังจากเสียเรตติ้งเพราะทำหนังมาหลายเรื่องก็แพ้เรตติ้งกระบี่ไร้เทียมทานไปหมด จนในที่สุด TVB ก็เลยทุ่มทุนสร้าง “ชอลิ้วเฮียง” ฉบับเจิ้งเส้าชิว ออกมาชนครับ แล้วผลก็คือประสบความสำเร็จ สาเหตุหนึ่งก็เพราะขบวนการสร้างของกระบี่ฯ เริ่มเป๋แล้วครับ พี่ฉีเริ่มหายหน้าไป สังเกตได้จากตอนที่สามสิบกว่าๆ ท่านจะได้เห็นมุมกล้องพิสดาร อย่างฉากที่ฮุ้นปวยเอี้ยงโผล่ แต่ไม่เห็นหน้านะ หลบมุมกล้องตลอด ดูไปก็แปลกๆ เหมือนกัน หรือไม่ก็ให้ปวยเอี้ยงมาแบบสวมหน้ากาก (เอาเข้าไป) เรียกว่าแก้ขัดไปก่อนล่ะครับ จนในที่สุดก็ต้องไปให้กู้กวนจงมาสวมบทแทนนั่นแหละ
เป็นอันว่า ถ้าไม่ยืดคงดีกว่านี้นะครับ ยอมรับจริงๆ ว่าดูจบแล้วติดใจตะหงิดใจเรื่องนี้มากที่สุดจริงๆ
แต่กระนั้นก็ยังเป็นหนังจีนกำลังภายในที่น่าลองดูสักครั้งอยู่ดีครับ แต่ต้องทำใจหน่อยนะ มันอืดแน่ๆ ละครับ
สองดาวครึ่งครับ

(7/10)










