
ถือเป็นหน้าที่ที่ต้องมาบอกกับท่านที่ยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ว่า Happiest Season เป็นหนังที่น่าดูครับ จริงๆ คือผมแนะนำให้ดูเลยล่ะ เพียงแต่ต้องขอตั้งศูนย์ให้พวกท่านก่อนที่จะดู
อย่างแรกเลยคือหากดูจากโปสเตอร์ ดูจากชื่อหนัง หรืออ่านจากพล็อตแล้วท่านอาจรู้สึกว่านี่จะเป็นหนังเบาสมอง Feel Good ดูสนุกสำหรับวันคริสต์มาส แต่ว่ากันตามจริงแล้ว ช่วงเวลา Feel Good ของหนังน่ะ จะไปอยู่ตรง 5 นาทีสุดท้ายก่อน End Credits จะขึ้นครับ ส่วนอีกประมาณ 90 นาทีกว่าๆ ก่อนหน้า สิ่งที่หนังนำเสนอต่อท่าน คือการวิพากษ์ค่านิยมของครอบครัวที่พยายามสร้างภาพตัวเองให้ดูดี ดูมีเกียรติยศศักดิ์ศรีตามแบบ “มาตรฐานค่านิยมของสังคม” แล้วก็ต้องการให้มีคนมานับหน้าถือตาเพื่อจะได้ไต่บันไดไปสู่อำนาจวาสนาอันสูงส่ง
พูดแบบไม่อ้อมค้อม คือระหว่างดูนี่ผม Feel ไม่ Good เลยครับ ยอมรับว่ามีหงุดหงิด อึดอัด ขัดใจ ต้องรอจนดูจบถึง 5 นาทีสุดท้ายนั่นแหละ ถึงจะได้ความรู้สึก Feel Good… เป็นการอดทนที่ยาวนานสำหรับผมเหมือนกัน คือหนังยาวแค่ 100 กว่านาที แต่ผมรู้สึกราวกับนั่งดูหนังเรื่องนี้เป็นสัปดาห์เลย – ผมว่าถัดจากนี้ผมอาจจะกระทำสิ่งที่หลายท่านถือว่าเป็นสปอยล์น่ะนะครับ ดังนั้นถ้าไม่อยากทราบก็ไม่ควรอ่าน แต่โดยส่วนตัวผมมองว่า ผมกำลังจะบอกว่าท่านกำลังจะเจอกับอะไรระหว่างดูหนังเรื่องนี้ เพื่อบรรเทาความรู้สึกหงุดหงิดที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการรับชม (แบบที่ผมเจอมาแล้ว) ดังนั้นก็แล้วแต่วิจารณญาณนะครับ แต่ผมมองว่าการที่ผมเล่าให้ท่านรู้คร่าวๆ ก่อนนี่น่าจะทำให้ท่านเพลินกับหนังได้มากกว่าไปเจอเองกับตัว
หนังเล่าเรื่องชีวิตรักของฮาร์เปอร์ (Mackenzie Davis) และแอ็บบี้ (Kristen Stewart) คู่รักสองสาวที่ความรักกำลังเบ่งบาน ทีนี้เรื่องมันเริ่มตอนที่ฮาร์เปอร์เอ่ยปากชวนให้แอ็บบี้ไปร่วมงานฉลองคริสต์มาสที่บ้านพ่อแม่ของเธอ ตอนแรกแอ็บบี้ก็เข้าใจว่าฮาร์เปอร์บอกกับพ่อแม่ของเธอแล้วว่าพวกเธอกำลังคบกัน แต่ที่ไหนได้ฮาร์เปอร์ยังไม่ได้บอกกับพ่อแม่เลย ซึ่งแอ็บบี้มารู้ความจริงนี้ตอนก่อนจะถึงบ้านฮาร์เปอร์แค่ไม่กี่อึดใจ
ดังนั้นฮาร์เปอร์จึงขอให้แอ็บบี้ทำตัวเป็นเพื่อนร่วมห้องเฉยๆ (ไม่ใช่แฟน) ตอนอยู่ต่อหน้าครอบครัวของเธอ พร้อมสัญญาว่าเธอจะบอกพ่อแม่อีกทีหลังจบช่วงคริสต์มาสแล้ว
และนั่นล่ะครับคือจุดเริ่มของสัปดาห์อันสาหัสของแอ็บบี้ เพราะนอกจากเธอจะต้องปิดบังเรื่องความรักของพวกเธอ ไหนจะเจอสารพัดความเยอะจากพ่อแม่และพี่น้องของฮาร์เปอร์แล้ว เธอยังต้องทนดูพ่อแม่ของฮาร์เปอร์พยายามจับคู่ให้ลูกโดยการเชิญแฟนหนุ่มคนเก่าของฮาร์เปอร์มาบ้านอยู่บ่อยครั้ง ว่าง่ายๆ คือพ่อแม่ยังไม่รู้ว่าฮาร์เปอร์นั้นรักผู้หญิง และหมายมั่นจะให้ลูกสาวแต่งงานกับชายคนนี้ – ที่เจ็บหนักหนากว่าอะไรก็คือ ฮาร์เปอร์เองก็ไม่พยายามขัดขืน หนำซ้ำยังไปเที่ยวไปดื่มกับแฟนเก่าจนดึกจนดื่น
ยังครับ วิบากกรมของแอ็บบี้ยังไม่หมด ถ้าอยากรู้ตามไปดูในหนังได้ครับ

คือ… จากใจเลยนะครับ คือถ้าผมทำได้เนี่ยผมเดินเข้าจอไปกอดแอ็บบี้แล้ว เพราะเธอน่าเห็นใจแบบสุดๆ สารพัดสิ่งที่เธอเจอจากครอบครัวของฮาร์เปอร์นั้นคือนรกดีๆ นี่เอง – แต่ก็พอเข้าใจล่ะครับ ในมุมหนึ่งหนังก็สื่อให้เราเห็นว่าแอ็บบี้นั้นรักฮาร์เปอร์แค่ไหน เธอถึงยอมกล้ำกลืนฝืนทนซะขนาดนี้
หนังเขียนบทและกำกับโดย Clea DuVall (เธอเขียนบทร่วมกับ Mary Holland ที่แสดงเป็นเจน น้องคนเล็กของครอบครัวคัลด์เวลล์) รู้สึกคุ้นๆ ชื่อ Clea DuVall ไหมครับ? ถ้าท่านเป็นคอหนังยุค 90 น่าจะจำเธอได้จากผลงานอย่าง She’s All That, The Faculty และ Girl, Interrupted ซึ่งเธอบอกว่าบทหนังเรื่องนี้คืออัตชีวประวัติของเธอนั่นเอง ใช่ครับ เธอคือ LGBTQ และผมถือว่าเธอมีความกล้าอย่างมากเพราะบทหนังเรื่องนี้มันสะท้อนความจริงอันไม่น่ามองของครอบครัว – ที่อาจจะอนุมานได้ว่าความจริงส่วนหนึ่งก็เคยเกิดขึ้นกับเธอมาก่อน
ครอบครัวคัลด์เวลล์ในหนังนั้นประกอบด้วยเท็ด (Victor Garber) หัวหน้าครอบครัวที่รักหน้ารักตารักชื่อรักเสียงและหมายมั่นตำแหน่งทางการเมือง เขาเลยพยายามควบคุมให้ครอบครัวเป็นไปในทิศทางที่ดูดีตาม “มาตรฐานค่านิยมของสังคม” คือภรรยา (Mary Steenburgen) ต้องคอยสนับสนุนสามีตลอด ต้องพร้อมจัดงานเลี้ยงทุกเมื่อที่มีแขกมาเยี่ยม – ซึ่งก็คือแทบจะทุกวัน เพราะเท็ดก็ต้องเชิญคนมีชื่อหรือไม่ก็มีฐานะมากินข้าวด้วยบ่อยๆ เพื่อสร้างคอนเนคชั่น
ส่วนลูกๆ ก็จะต้องดูสมบูรณ์แบบตาม “มาตรฐานค่านิยมของสังคม” ที่พอโตแล้วก็ต้องแต่งงานกับคนที่คู่ควร แล้วก็มีลูกมีเต้า มีหน้าที่การงานหรือไม่ก็มีกิจการส่วนตัวที่มั่นคง
และไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่ เท็ดและภรรยาจะให้ค่ากับลูกๆ ก็ต่อเมื่อลูกทำตาม “มาตรฐานค่านิยมของสังคม” ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้พ่อแม่ดูมีหน้ามีตายิ่งขึ้น ดูสมบูรณ์พร้อมมากขึ้นในสายตาของคนในวงสังคมนั้น ดังนั้นถ้าใครทำได้ก็จะได้รับความรักและการเห็นค่าจากพ่อแม่ แต่หากลูกคนไหนทำไม่ได้ตามนั้นก็จะถูกหมางเมิน โดนทำตัวเหินห่างใส่
ทีนี้ลูกๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ต้องการความรักจากพ่อแม่ ก็เลยกลายเป็นม้าแข่งที่ต้องแข่งกันทำตาม “มาตรฐานค่านิยมของสังคม” เพื่อให้พ่อแม่ยอมรับและพอใจ อย่างสโลน (Alison Brie) พี่สาวของฮาร์เปอร์ก็แต่งงานกับคนที่เรียนจบสูงๆ พร้อมทั้งมีลูกอีก 2 คน แล้วก็มีหน้าที่การงาน ดูสมบูรณ์พร้อมไร้ร่องรอยตำหนิใดๆ – แต่ในความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่

ตัวฮาร์เปอร์เองก็พอกัน แม้ลึกๆ จะรู้ว่าตัวเองรักผู้หญิงและสมัยเรียนก็เคยคบหากับเพื่อนที่ชื่อไรลี่ย์ (Aubrey Plaza) แต่ก็พยายามปิดบังไว้ ครั้นพอจะโดนจับได้ ฮาร์เปอร์ก็ปฏิเสธและโยนความผิดทั้งหมดให้กับไรลี่ย์ หาว่าไรลี่ย์มาตามจีบเธอต่างหาก…
ฮาร์เปอร์ดูมีความสุขมากตอนได้เจอกับแอ็บบี้ คนที่เธอรักสุดหัวใจ แต่พอเธอกลับมาที่บ้าน มาอยู่ใต้ชายคาของพ่อแม่และอยู่ท่ามกลางพี่น้อง ในที่สุดเธอก็กลับมาเป็นคนเดิม เป็นลูกที่จะได้รับความรักและการยอมรับจากพ่อแม่ก็ต่อเมื่อเธอทำตามที่พ่อแม่ต้องการ เธอเลยเปลี่ยนไปจากคนเดิมที่แอ็บบี้เคยรู้จัก – จริงๆ ฮาร์เปอร์ไม่ได้เปลี่ยนไป เธอแค่กลับมาเป็นคนเดิมที่เคยเป็น เป็นลูกที่ถูกครอบงำโดยพ่อแม่ เป็นม้าในสนามที่ต้องแข่งเด่นแข่งดีกับพี่น้องคนอื่นๆ
ไม่ว่าจะรู้ตัวกันหรือไม่ บ้านตระกูลคัลด์เวลล์ก็แทบไม่ต่างจากสนามม้าแข่งดีๆ นี่เอง
ตลอดทั้งเรื่องท่านจะสัมผัสได้กับความขัดๆ ขืนๆ ในครอบครัวคัลด์เวลล์ที่ดูดีตรงฉากหน้า ประหนึ่งสวมหน้ากากเข้าหากัน แต่เบื้องหลังในใจของแต่ละคนต่างก็บอบช้ำ เจ็บปวด หรือไม่ก็อึดอัด – อาจจะมีเท็ดที่ไม่อึดอัด เพราะเขาได้ตามที่ใจต้องการ
และในที่สุดเมื่อหน้ากากถึงจุดปริแตก ถึงจุดที่ไม่สามารถปิดบังความจริงที่อัดแน่นได้อีกต่อไป – ถึงจุดที่ไม่ใครก็ใครในครอบครัวกำลังจะระเบิด และแล้วก็เกิด Big Bang ครับ ทุกคนต่างพูดในสิ่งที่ตนอัดอั้นจนหมดเปลือก – แอ็บบี้ก็ได้เป็นสักขีพยานเหตุการณ์ที่ว่า และแน่นอนว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เธออยากให้มันเกิด
แต่ก็มีเหตุผลครับที่ผมใช้คำว่า Big Bang เพราะหลังจากเกิดเหตุการณ์บ้านคัลด์เวลล์กระจุยแล้ว ก็เหมือนจักรวาลได้เริ่มต้นเรียงตัวใหม่ คนในครอบครัวคัลด์เวลล์ได้เริ่มต้นสำรวจตนเองอีกครั้ง และหันหน้าเข้าหากัน เผชิญกับความจริงที่เป็น จนในที่สุดก็สามารถปรับความเข้าใจกันได้ – และนั่นล่ะครับ ที่นำมาสู่อารมณ์ Feel Good ตอน 5 นาทีสุดท้าย
หลังจากดูหนังจบ พอมองย้อนไปก็ตระหนักครับว่าดีแล้วที่แอ็บบี้มาในครั้งนี้ เพราะไม่เช่นนั้นครอบครัวคัลด์เวลล์ก็คงจะอยู่ในวังวนเดิมต่อไปไม่จบไม่สิ้น

และผมก็คิดเอานะ ว่าการที่หนังชื่อว่า Happiest Season นั้น คงเพราะ Season ก่อนๆ ของครอบครัวคัลด์เวลล์นั้น มีแต่ความสุขปลอมๆ ความสุขประดิษฐ์ ความสุขที่สุกๆ ดิบๆ – ต้องรอจนถึง Season นี้นี่แหละ ครอบครัวนี้ถึงได้เจอลู่ทางสู่ความสุขที่แท้จริงแบบไม่ต้องปิด ไม่ต้องบัง ไม่ต้องสวมหน้ากากใส่กัน – พ่อแม่รักลูกอย่างที่ลูกเป็น ลูกก็เป็นได้อย่างที่พวกเขาเป็น
เป็นหนังที่ดูแล้วรู้สึกอัดอัดครับ แต่พอถึงบทสรุปก็ทำให้เรารู้สึกโอเค ดูแล้วเห็นใจทุกตัวละคร และพอเรื่องคลี่คลายก็แฮปปี้กับพวกเขาที่ความอึดอัดได้ผ่านพ้นไป – ก็ได้แต่คิดน่ะนะครับ ว่าในโลกแห่งความจริงก็คงมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอยู่นั่นแหละ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีกี่ครอบครัวที่ลงเอยในแบบนี้ได้จริงๆ มันคือ Happy Ending ที่คงไม่ได้เกิดกับทุกครอบครัวหรอก
ดาราทุกคนแสดงได้สมกับบทครับ และพูดก็พูดถึง เหตุผลที่ผมตามมาดูเรื่องนี้ เหตุผลหลักเลยคือตามมาดู Dan Levy ครับ ผมชอบนางสุดๆ มาจากซีรี่ส์ Schitt’s Creek มาเรื่องนี้ตอนแรกทำท่าว่าจะบทน้อย แต่รอหน่อยครับ บทนางมาเยอะเอาตอนท้าย และน่าจดจำอย่างยิ่ง ผมชอบฉากที่นางปลอบใจแอ็บบี้พร้อมเผยให้รู้ว่า การที่นางเปิดตัวตนให้พ่อรู้ มันก็ไม่ได้ลงเอยด้วยความสวยงามแต่อย่างใด… ฉากนี้ก็ทำเอาอยากเดินไปกอดนางอีกเหมือนกัน
สำหรับท่านที่ยังไม่ได้ชมหนังเรื่องนี้ ผมแนะนำเลยครับว่าหนังน่าลอง แต่ก็ต้องแล้วแต่ความชอบด้วยเพราะบางท่านอาจไม่ชอบหนังที่มีบรรยากาศอึดอัด มาคุ เต็มไปด้วยรังสีเฮ้ากวง และรัศมีเข่นฆ่าระหว่างคนในครอบครัว แต่อย่างที่บอกครับว่าหนังจบดี จบสวย แต่เหตุการณ์ต่อจากนั้นจะราบรื่นหรือไม่อันนี้ก็คงตอบไม่ได้ ได้แต่คาดว่าชีวิตพวกเขาก็คงมีทั้งสุขทั้งทุกข์ผสมๆ กันตามประสามนุษย์ปุถุชนนั่นแหละ
การดูหนังเรื่องนี้จะทำให้ท่านมีความสุขหรือไม่ อันนี้ไม่อาจทราบ แต่เชื่อว่าบางสิ่งบางอย่างในหนังจะเป็นเสมือนป้ายบอกทาง ว่าทางไหนไปแล้วสุข และทางไหนไปแล้วทุกข์ – ก็เลือกเดินและเลือกเลี่ยงกันตามอัตภาพครับ
และขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านที่เผอิญว่าชีวิตจริงไปตรงกับชีวิตของตัวละครในหนังครับ
สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ

(7.5/10)
หมวดหมู่:Comedy, Drama, Movie Reviews, Recommended Movies, Romance, Romance Romance, Romantic Comedy










