
ไม่ทันไรหนังชุด Insidious นี่ก็อายุ 10 กว่าปีแล้วนะครับ และนี่คือภาคที่ 5 ครับ
คราวนี้หนังหวนกลับไปเล่าเรื่องราวของครอบครัวแลมเบิร์ตต่อ หลังจากภาค 3 กับ 4 ย้อนไปเล่าเรื่องของแม่หมอเอลลิส (Lin Shaye) โดยหนังย้อนเล่าเหตุการณ์ในตอนจบภาค 2 ที่จอช (Patrick Wilson) และดัลตัน (Ty Simpkins) ถูกสะกดจิตให้ลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้น และมาถึงตอนนี้หลายปีผ่านไป ดัลตันโตเป็นหนุ่มแล้วก็ได้เข้าเรียนในวิชาศิลปะ และที่คลาสเรียนวิชาศิลปะนั้นเองที่กระตุ้นให้ดัลตันหวนไปจำถึงอดีตที่แสนสยองในตอนนั้น
ผมว่าตอนที่ James Wan จบภาค 2 แบบนั้นแกคงคิดจะปิดประตูเรื่องของครอบครัวแลมเบิร์ตลง แล้วหากจะมีการทำตอนต่อก็ค่อยไปหาเรื่องใหม่ๆ มาสานต่อ แต่ในที่สุดเรื่องก็ต้องวนกลับมาที่ครอบครัวแลมเบิร์ตจนได้ ก็ไม่รู้ว่าไอเดียทีมงานตันหรือยังไงน่ะนะครับ แต่ก็เอาเถอะ เพราะเขาทำออกมาแล้ว และหนังก็ถือว่าดูได้เรื่อยๆ ครับ
จริงๆ โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่าภาคนี้สนุกน้อยที่สุดนะ แต่ยังดีที่ตอนจบของเรื่องมันยังคงธีมสำคัญของหนังผีตระกูลนี้ (ผมรวมทั้ง Insidious และ The Conjuring ไว้ด้วยกันครับ ถือว่าเป็นหนังผีตระกูลที่ Wan ได้เริ่มไว้) และธีมที่ว่าก็คือ “ความรัก”
ตัวหนังถือว่าค่อนข้างเรื่อยอยู่ครับ โดยเฉพาะ 1 ชั่วโมงกับ 15 นาทีแรกที่หนังใช้เวลาไปกับการระลึกชาติของ 2 พ่อลูกที่ต่างคนต่างก็ลืมเรื่องผีสางและเรื่องถอดจิตไปจนหมด ทุกอย่างเลยต้องมาเริ่มกันใหม่ ซึ่งในแง่การเล่าเรื่องก็พอเข้าใจน่ะครับ ก็ในเมื่อจอชกับดัลตันลืมไปแล้ว หากอยากจะเล่าเรื่องต่อมันก็ต้องหาเรื่องมาให้ 2 พ่อลูกนี้รำลึกกันใหม่ อันนี้เข้าใจได้
แต่ประเด็นคือสำหรับคนดูที่ดูหนัง 4 ภาคก่อนมาแล้ว มันก็เหมือนดูหนังม้วนเดิมซ้ำน่ะครับ สิ่งที่พ่อลูกเพิ่งมาอ๋อน่ะ เราอ๋อมาตั้งนานแล้ว และลีลาการเล่าเรื่องในช่วงที่ว่านี่ก็ค่อนข้างช้าๆ เนือยๆ ไม่ค่อยมีความสยองหรือตื่นเต้นมาเสิร์ฟสักเท่าไร ครั้นฉากผีหลอกผีหลอนในระหว่างนี้ก็มาในท่าเดิมๆ ไม่ได้มีการสร้างสรรค์ฉากหลอนใหม่ๆ มาดึงดูดความสนใจ หนังเลยค่อนข้างเรื่อยครับ – สารภาพเลยว่าสิ่งที่ทำให้ตามดูต่อแม้หนังจะเนือยก็เพราะ นี่คือ Insidious ที่เราติดตามมานานนับสิบปี แล้ว 2 ดาราอย่าง Wilson แล Simpkins ก็ถือว่าเล่นได้โอเค

ความเข้าท่าจริงๆ ของหนังมันมาตอน 25 นาทีสุดท้ายน่ะครับ ตอนที่พ่อลูกระลึกชาติได้แล้ว เช่นเดียวกับเหล่าผีที่ตั้งท่าพร้อมแล้วที่จะเล่นงานพวกเขา เรื่องมันเลยน่าสนใจขึ้น แต่ก็อีกนั่นแหละ ตอนที่พวกเขาต้องเข้าไปผจญภัยในมิติลี้ลับ (หรือมิติมืด หรือปรโลก) มันไม่ได้ตื่นเต้นเร้าใจอะไรนัก สู้ 2 ภาคแรกที่ Wan ทำไว้ไม่ได้เลย แต่ก็พยายามบอกตัวเองน่ะครับว่านี่เป็นงานกำกับชิ้นแกของ Wilson จังหวะจะโคนในการเล่าเลยอาจยังไม่ลงตัวนัก ลีลาท่ายากก็ยังไม่มีเพราะชั่วโมงบินยังไม่เยอะ หนังเลยออกมาค่อนข้างธรรมดา
แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกบวกกับหนังมากขึ้นก็คือธีมที่หนังนำมาเล่นในตอนท้ายนั่นแหละครับมันคือ “ความรัก” ซึ่งในที่นี้คือความรักที่พ่อมีต่อลูก ซึ่งความรักนี่แหละครับที่ช่วยชีวิตเหล่ามนุษย์ในหนัง Insidious และ The Conjuring มานักต่อนัก – การนำธีมนี้มาเป็นพระเอกในตอนไคลแม็กซ์ ก็ทำให้ผมรู้สึกโอเคกับหนังมากขึ้น หลังจากที่รู้สึกเรื่อยๆ มาตลอดหนึ่งชั่วโมงกว่า
และแง่คิดสำคัญอีกอันที่ผมได้จากหนังเรื่องนี้ก็คือ “สำหรับบางปัญหานั้น การลืมไม่ใช่ทางออก ความตายก็ไม่ใช่ทางออก มีแต่เราต้องเผชิญหน้าสู้กับมันอย่างมีสติเท่านั้นถึงจะสยบปัญหานั้นลงได้”
ถ้ามองแบบขำๆ นี่ หนังชุด Insidious ถือว่ามีคุณูปการกับผู้เกี่ยวข้องนะ คือนอกจากจะทำเงินทำทองแล้วยังสร้างอาชีพได้อีกด้วย อย่าง Leigh Whannell ผู้เขียนบทริเริ่มให้กับหนังชุดนี้ก็ได้ประเดิมกำกับหนแรกใน Insidious: Chapter 3 ส่วน Wilson ก็ได้เริ่มอาชีพกำกับด้วยหนังภาคนี้ เรียกว่าตัวละครในเรื่องจะทุกข์ตรมเพราะผีแค่ไหนก็ตาม แต่ดูเหมือนทีมงานจะได้ดิบได้ดีจากหนังชุดนี้กันเป็นส่วนใหญ่
และกลายเป็นว่าหนังภาคนี้ทำเงินสูงสุดในบรรดา 5 ภาคครับ ทำเงินทั่วโลกไป $189 ล้าน จากทุนสร้าง $16 ล้าน กำไรเป็นกอบเป็นกำครับ และถือว่าทำเงินสูงสุดของหนังชุดนี้ด้วย
ถือว่าดูได้ครับ ชั่วโมงกว่าๆ แรกอาจจะอืดช้าไปสักหน่อย แต่หนังก็สรุปได้โอเค
สองดาวครับ

(6/10)
==================
==================
ขอสปอยล์สิ่งที่ชอบสักนิดนะครับ
==================
==================
ผมชอบฉากตอนท้ายที่แม่หมอเอลลิสโผล่มาทักทายและคุยกับจอช คือน้ำตาเกือบไหลเลยครับ เพราะความอบอุ่นมันแผ่ซ่านออกมาเลย มันสัมผัสได้แบบจริงๆ จังๆ ว่าแม่หมอเอลลิสเป็นห่วงจอชมากจริงๆ ฉากนี้ Shaye แสดงได้ดีด้วยล่ะครับ คือแสดงแบบน้อยๆ แต่อบอุ่นแบบหนักๆ ชอบครับ ชอบเลย มันเลยทำให้ผมรู้สึกโอเคกับหนังมากขึ้น – แล้วยิ่งหนังจบด้วยเพลง Stay นี่ยิ่งเข้าไปกันใหญ่
หมวดหมู่:Horror, Movie Reviews, Mystery, Supernatural Horror, Thriller










