
ไปๆ มาๆ เหมือนว่าหนังคริสต์มาสที่ผมได้ดูในช่วงนี้เนี่ยมันจะมีอะไรให้พูดถึงเยอะกว่าที่คิด ไม่ใช่แค่ดูหนังแล้วแฮปปี้ Feel Good แล้วจบ
Fall Into Winter บอกเล่าเรื่องราวของแคร์รี่ เมอร์ฟี่ย์ (Lori Loughlin) เจ้าของร้านขนมเมอร์ฟี่ย์ส แคนดี้ที่ครอบครัวของเธอก่อตั้งมาตั้งแต่ยุค 40 ทีนี้ล่าสุด เจค (Darrin Baker) พี่ชายของเธอมีเหตุให้ต้องย้ายไปอยู่อังกฤษ เขาเลยขายหุ้นของร้านส่วนของเขาให้กับ บรูกส์ แมคลีด (James Tupper) คู่แค้นสมัยไฮสคูลของแคร์รี่
ตอนแรกแคร์รี่ก็ไม่แฮปปี้นักครับ คอยเขม่นคอยจับผิดบรูกส์อยู่ตลอด แต่ก็คงจะพอเดาได้ใช่ไหมครับว่าพอเวลาผ่านไปๆ แคร์รี่ก็ค่อยๆ เปิดใจยอมรับบรูกส์เข้าในชีวิต และแน่นอนว่าพวกเขาต้องลงเอยกันในที่สุด
พล็อตคุ้นเคยครับ เริ่มาพระเอกกับนางเอกต้องไม่ถูกกัน และนางเอกของเราอย่างแคร์รี่ก็จะเป็นคนใจดีที่พร้อมจะยื่นขนมให้แก่คนที่มีเงินไม่พอแบบฟรีๆ ตั้งใจเปิดร้านแห่งนี้ก็เพื่อให้คนได้กินขนมอร่อยๆ มากกว่าจะมาคิดเรื่องเงินๆ ทองๆ ส่วนบรูกส์ก็จะมาในมาดนักธุรกิจและคิดเรื่องกำไรและขาดทุนเป็นหลัก มันก็จะมีช่วงที่พวกเขาขัดกันอยู่บ้าง
จริงๆ จุดนี้เราก็เก็บมาคิดได้ครับว่าในการทำธุรกิจจริงๆ แล้วนั้น มันก็ต้องมีทั้งความโอบอ้อมเอื้อเฟื้อและมีน้ำใจต่อลูกค้า แต่ถ้าจะไม่คิดถึงเรื่องเงินเลยแบบนั้นธุรกิจก็อาจจะไปไม่รอด เรื่องแบบนี้มันเลยต้องหาจุด Balance ครับ ใจลูกค้าเราก็ต้องรักษา แต่ก็ต้องไม่ให้ถึงขั้นเข้าเนื้อยาวนานเกินไป เราเองก็ต้องหาทางบริหารจัดการให้เกิดสมดุล ให้ Win Win ทั้งเราและลูกค้า – คนขายต้องเข้าใจลูกค้า แต่ลูกค้าก็ต้องเข้าใจคนขายด้วยเช่นกันนะครับ

ทีนี้มาว่ากันถึงตัวหนังครับ… ว่าแบบตรงๆ เลยคือผมรู้สึกว่าหนังค่อนข้างเรื่อยๆ เดินเรื่องแบบเรื่อยๆ ความน่าสนใจไม่มากเท่าไรนัก สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้เลยคือรู้สึกว่าหนังมัน Low Energy น่ะครับ ดูพลังมันน้อยๆ ยังไงก็ไม่รู้ และคนที่ดูพลังน้อยจนรู้สึกได้ก็คือ Loughlin นางเอกของเรื่องซึ่งก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันจะเกี่ยวกับการที่เธอเพิ่งผ่านกรณีอื้อฉาวมาหรือเปล่า – เธอเล่นเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกๆ หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์ดังกล่าวน่ะครับ – ยอมรับเลยว่าระหว่างดูมันรู้สึกว่าเธอดู Low Energy ไม่เหมือนสมัยก่อนที่การแสดงของเธอจะจับตาจับใจและจับความรู้สึกผู้ชมได้มากกว่านี้
ขณะเดียวกันก็รู้สึกครับว่า Tupper พระเอกของเรื่องค่อนข้างทุ่มพลังในการแสดงไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะฉากในตอนท้ายที่เขาบอกกับแคร์รี่ว่าเพราะอะไรเขาถึงจากเมืองใหญ่มาอยู่ที่ร้านขนมเล็กๆ แห่งนี้ ดูจากแววตา ท่าทาง และน้ำเสียงมันรู้สึกเลยว่าเขาตั้งใจมากจริงๆ ครับ และเหตุผลหนึ่งที่หนังดูมีอะไรให้ติดตามก็เพราะความตั้งใจในการแสดงของเขานี่แหละ (อันนี้ไม่ได้บอกว่าเขาแสดงได้ดีมากๆ น่ะนะครับ เพียงรู้สึกได้ว่าเขาตั้งใจน่ะ)
ถ้าให้สรุปคร่าวๆ หนังก็มีทั้งส่วนที่โอเคและส่วนที่เนือยๆ ครับ ส่วนที่โอเคก็คือการแสดงของ Tupper และดนตรีดีๆ ที่เสริมอารมณ์อบอุ่นของ Angelo Oddi (ที่ทำให้นึกถึงท่วงทำนองของ John Debney อยู่เหมือนกัน) – สำหรับส่วนที่เนือยๆ นั้น ก็คือพลังของ Loughlin ที่อาจจะไม่มากดังเคย แต่ก็สัมผัสได้นั่นแหละครับว่าเธอก็พยายามอยู่ แต่อาจจะเพราะเพิ่งผ่านพ้นเรื่องหนักๆ มาและบทนางเอกเรื่องนี้ก็ถือว่าค่อนข้างคิดลบกับพระเอกด้วย โทนของตัวละครนี้เลยดูไม่ค่อยสดใสนัก และเมื่อมาเจอกับการเดินเรื่องที่ถือว่าเนือยๆ เรื่อยๆ มันเลยดึงหนังให้ดู Low Energy อยู่ไม่น้อย
แต่ยังดีครับที่บทสรุปในตอนท้ายจบแบบแฮปปี้ตามสไตล์หนังแนวนี้ – จริงๆ ผมก็ไม่ถึงกับผิดหวังหรอกครับ แค่รู้สึกว่าหนังมันยังดีได้อีก น่าสนใจได้อีก – แต่ยังไงก็ถือว่าหนังอยู่ในข่าย Feel Good นั่นแหละครับ เพียงแต่จะดู Low Energy ไปบ้างเท่านั้น
สองดาวครับ

(6/10)
หมวดหมู่:Comedy, Feel-Good Movies, Movie Reviews, Romance, Romance Romance, Romantic Comedy










