Drama

The VVitch: A New-England Folktale (2015) อาถรรพ์แม่มดโบราณ

Untitled06368

การดูหนังเรื่อง The VVitch นี่ทำให้ตระหนักเลยครับ ถึงความต่างระหว่างหนังดูเอาบันเทิงกับหนังหนักๆ สายคุณภาพ

ก่อนดูเรื่องนี้ผมดู Meg 2: The Trench ครับ และบอกได้เลยว่าผมเพลินกับ Meg 2 แม้หนังมันจะไม่ได้เจ๋งแจ๋วอะไร แต่ดูแล้วมันตอบโจทย์ความบันเทิง ดูเอามันส์ได้ในระดับหนึ่ง ในขณะที่ The VVitch นี่ผมใช้คำว่า “ดูเพลิน” ไม่ได้เลยครับ เพราะมันไม่เพลิน ไม่ได้ดูแล้วเกิดความสนุกสนาน แต่ดูแล้วเกิดความรู้สึกหนักๆ อึ้งๆ กดดันๆ และพอดูจบก็แอบรู้สึกว่าเมฆวันนี้มันดูมืดๆ ยังไงก็ไม่รู้แฮะ

หนังว่าด้วยครอบครัวหนึ่งในช่วงยุค 1630 แถบนิวอิงแลนด์ที่ต้องเผชิญกับอำนาจลึกลับบางอย่าง แล้วครอบครัวนี้ก็ค่อยๆ แตกสลายครับ ซึ่งเรื่องราวเป็นอย่างไรนั้นดูเองจะเหมาะสุดครับ แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่านี่ไม่ใช่หนังสยองแบบตุ้งแช่แฮ่ใส่ ไม่ใช่หนังโหดเลือดสาด แต่มันคือหนังสยองแบบกินบรรยากาศ ความผิดปกติจะค่อยๆ เกิดขึ้นทีละนิดท่ามกลางภาพบ้านไร่กลางป่าในยุคเก่าก่อน

ช่วงต้นๆ นี่ยอมรับว่าผมมีสัปหงกนิดๆ เหมือนกันครับ หนังเดินเรื่องแบบไปเรื่อยๆ ค่อยๆ แนะนำสมาชิกในครอบครัว ค่อยๆ เผยให้เราเห็นว่าความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวนี้เป็นเช่นไร ก่อนที่เรื่องน่ากลัวจะค่อยๆ เกิดขึ้น อันส่งผลต่อจิตใจของคนในครอบครัวนี้ ทำให้เกิดความร้าวฉานหรือไม่ก็ทำให้รอยปริที่เคยมีมาแต่เก่าก่อนค่อยๆ แตกมากขึ้นเรื่อยๆ

หน้าหนังมาในแนวจิตวิทยา แต่ผมมองว่าหนังออกแนวดราม่าผสมระทึกขวัญเชิงจิตวิทยาครับ เพราะสิ่งหลักๆ ที่หนังนำเสนอให้เราเห็นก็คือภาพปฏิกิริยาที่คนในครอบครัวนี้มีต่อกันหลังจากเจอเรื่องลึกลับเข้า แต่จะไม่ได้เน้นความสยองหรือความน่ากลัวสักเท่าไร เอาเข้าจริงคือระหว่างดูนี่ผมไม่รู้สึกว่าหนังมันน่ากลัวเลยครับ แต่จะรู้สึกเครียด รู้สึกกดดัน ผสมกับหดหู่มากกว่า

ไม่แปลกใจเลยครับที่ Anya Taylor-Joy ได้แจ้งเกิดจากเรื่องนี้ เพราะเธอดูเด่นมากจริงๆ การแสดงในตอนนั้นของเธอก็มาแบบน้อยๆ แต่ซึมลึก ดูแล้วค่อยๆ เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของเธอทีละนิด และในตอนบทสรุปนั้นผมว่าเธอสื่อสีหน้าออกมาได้ดีทีเดียวครับ

Untitled06369

ขณะเดียวกันหนังก็แจ้งเกิดให้ผู้กำกับ Robert Eggers ด้วยครับ ถือเป็นประตูบานแรกที่เปิดโอกาสให้เขาได้ทำหนังอย่าง The Lighthouse และ The Northman ในเวลาต่อมา สำหรับเรื่องนี้ถือว่าเป็นงานที่น่าจดจำครับ อาจยังไม่ถึงกับเข้มสุดๆ แต่ก็ถือว่าได้ระดับสำหรับหนังสไตล์นี้ ที่หากคนทำคุมหนังไม่ดี บทไม่เวิร์ก หรือมัวไปเน้นผิดทิศผิดทางล่ะก็ หนังจะกลายสภาพเป็นหนังโล่งโถงได้ง่ายๆ เลยล่ะ

เป็นหนังเล็กๆ ที่ประสบความสำเร็จแบบกำลังดีครับ ทำเงินทั่วโลกไป $40.4 ล้าน จากทุนสร้างประมาณ $4 ล้าน ตัวเลขอาจไม่ได้มากมายอะไรครับ แต่ผมก็ดีใจนะที่หนังเล็กๆ แนวไม่ตลาดแบบนี้มีพื้นที่และมีคนสนใจดู

อย่างที่ผมเกริ่นไว้ครับ ว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้ดูเพลินสำหรับผม ช่วงต้นก็ต้องใช้ความอดทนในการดูอยู่เหมือนกัน แต่พอดูไปก็สัมผัสได้ถึงของดีที่มี ไม่ว่าจะการแสดงของน้อง Anya และสมาชิกคนอื่นๆ ก็ถือว่าเล่นได้ดีเช่นกัน กับโทนของเรื่อง ความอึมครึมของบรรยากาศ ทั้งหมดผสมกันทำให้หนังเรื่องนี้ถือว่ามีดีน่าดู แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่หนังสำหรับทุกคนครับ เชื่อเถอะว่าคนที่ดูแล้วไม่ชอบหรือดูแล้วเบื่อย่อมต้องมีแน่นอน ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาครับ แต่กระนั้นก็อยากให้ลองครับ เผื่อมันจะเป็นหนังที่โดนใจท่านแบบไม่คาดคิด

นอกจากนี้หนังยังอาจสะกิดให้เกิดการขบคิดเกี่ยวกับ “ผลแห่งความเชื่อ” ที่มันมักส่งผลต่อตัวเราเอง รวมถึงคนใกล้ตัวเสมอ – ชีวิตเราส่วนใหญ่ก็เป็นไปตามสิ่งที่เราคิด เป็นไปตามสิ่งที่เราเชื่อนั่นเองครับ – และหลายครั้งทีเดียวที่มันมีฤทธิ์ส่งผลถึงความปังและความพังในชีวิตเราได้

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)