Action

Spy Kids: Armageddon (2023) พยัคฆ์จิ๋วไฮเทค: วันสิ้นโลก

Untitled06327

Spy Kids: Armageddon ถือว่าไม่เลวครับ มีจุดที่เข้าท่าและยังโอได้อีกผสมๆ กันไป ถ้าให้เรียงตามความชอบแล้ว ภาคนี้ยังสู้ 2 ภาคแรกไม่ได้ แต่ก็ถือว่าน้องๆ ภาค 3 และเข้าท่ากว่าภาค 4 ครับ

ภาคนี้เป็นการรีบูทเริ่มใหม่ครับ 2 สายลับจิ๋วก็เป็นหน้าใหม่คือโทนี่ (Connor Esterson) และ แพตตี้ (Everly Carganilla) ลูกๆ ของ 2 สายลับ OSS อย่าง เทอร์เรนซ์ (Zachary Levi) และนอร่า (Gina Rodriguez) ที่ครอบครองอาวุธลับอย่างโปรแกรมอาร์มาเกดดอนเอาไว้ แล้วก็ตามสูตรครับที่จะต้องมีตัวร้ายหมายจะเอาอาวุธลับไป ซึ่งก็คือ เรย์ คิงสตัน (Billy Magnussen) เจ้าของเกมไฮสกอร์ที่โด่งดังระดับโลก และพอพ่อแม่ถูกจับไป 2 สายลับจิ๋วเลยต้องออกโรงตามช่วยพ่อแม่ รวมถึงช่วยกู้โลกไปพร้อมๆ กัน

หนังก็ไม่เลวนะครับ ซึ่งที่บอกว่าไม่เลวในที่นี้คือหนังออกมาเป็นโทนผจญภัยแฟนตาซีสำหรับเด็ก พวกความมันส์ความลุ้นความตื่นเต้นอาจไม่ถึงระดับหนังแอ็คชั่นมันส์ๆ สำหรับผู้ใหญ่ แต่จะออกมาแบบดูง่ายๆ แทรกอารมณ์ขันและสีสันลงไป ซึ่งผมก็ถือว่าโชคดีครับที่ก่อนจะดูภาคนี้ก็ไปไล่ดู 4 ภาคก่อนมา และการดูภาค 4 คือคีย์สำคัญสำหรับผมนะ คือน่าจะเพราะผมดูภาค 4 มาก่อนนี่แหละเลยรับกับภาคนี้ได้ง่ายขึ้น ประมาณว่าสมองมันปรับให้พร้อมสำหรับการดูหนังแบบเด็กๆ แบบนี้แล้ว มันเลยรับได้กับหนังภาคนี้

แต่จริงๆ หนังเองก็มีของดีของตัวเองอยู่นะครับ เริ่มกันที่ 2 ดาราเด็กที่มารับบทสายลับจิ๋วคู่ใหม่ ก็ถือว่าเล่นได้โอเคในระดับหนึ่ง อาจจะยังไม่ถึงกับลื่นไหลเท่าสมัย Alexa Vega และ Daryl Sabara แต่ก็ถือว่าพอได้ และส่วนที่ผมว่าสำคัญจริงๆ ที่ช่วยดันให้ 2 คนนี้ดูเด่นขึ้นก็คือบทครับ บทมีการนำเสนอคาแรคเตอร์ของพวกเขาได้โอเคอยู่ ว่าง่ายๆ คือพวกเขาดูมีมิติ มีอัตลักษณ์ประจำตน อย่างโทนี่ที่เติบโตขึ้นตามการผจญภัยครั้งนี้ จากเดิมที่จะออกแนวสายลุยที่ชอบเอาชนะโดยไม่เกี่ยงวิธีการ ก็โตขึ้นเป็นคนที่เคารพในกติกาและการเล่นแบบแฟร์ๆ

ส่วนแพตตี้ก็มาพร้อมทัศนคติโลกสวยครับ ประมาณว่าเชื่อในความดีงาม และเชื่อว่าทุกคนมีความดีอยู่ในตัว ขอเพียงเราทำดี ปฏิบัติดีต่อคนอื่น ต่อให้คนอื่นเป็นคนไม่ดี ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงเป็นคนดีได้ – ก็อาจจะดูโลกสวยไปหน่อย แต่ก็พอเข้าใจได้ในคอนเซปต์ครับ

Untitled06328

เนี่ยแหละครับ 2 สายลับจิ๋วของเราก็เลยไม่ใช่แค่ลงสนามแล้วลุยด่านไปเรื่อยๆ เพียงอย่างเดียว แต่พวกเขายังเป็นเด็กที่มีความคิด เป็นเด็กที่เติบโตขึ้นหลังผ่านการผจญภัยต่างๆ ว่าง่ายๆ คือเป็นเด็กที่มีหัวคิดน่ะครับ ผมเลยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกในเชิงบวกกับพวกเขา และนั่นก็เลยพลอยทำให้ตัวหนังดูมีอะไรมากขึ้น ไม่ใช่แค่หนังแฟนตาซีเน้นสีสันแบบเรื่องก่อนๆ ของพี่ Robert Rodriguez

ใช่ครับ ผมว่าหนังเรื่องนี้เวิร์กกว่า The Adventures of Sharkboy and Lavagirl และดูเป็นชิ้นเป็นอันกว่า We Can Be Heroes อีกทั้งหนังแก้จุดอ่อนจากภาค 4 ไม่ว่าจะคาแรคเตอร์ของตัวนำที่บางทีก็ดูไม่น่ารัก ไม่น่าเอาใจช่วย รวมถึงการผจญภัยที่ไม่ค่อยเยอะเท่าไร แต่มาภาคนี้ตัวละครถือว่าใช้ได้ และการผจญภัยก็ถือว่ามาเรื่อยๆ ส่วนงาน CG ก็ถือว่าเนี๊ยบเนียนครับ โดยเฉพาะตอนท้ายๆ ที่ครอบครัวสายลับต้องเผชิญกับตัวร้ายในโลกของเกม ฉากหลังมันดูพอเหมาะนะ ไม่ได้ดูแฟนตาซีจ๋าจนล้นจอแบบเรื่องก่อนๆ มันดูสวยแบบพอดีๆ

และหนังยังคงธีมประจำของหนังชุดนี้ไว้ครับ นั่นคือคนไม่ดีสามารถเปลี่ยนเป็นคนดีได้ หรือดีกว่าเดิมได้ หากได้รับโอกาสและการชี้ทางที่เหมาะ ซึ่งถ้าสังเกตจะพบว่าธีมนี้แทรกอยู่ตลอดใน Spy Kids ทุกเรื่อง และภาคนี้ก็ดูเหมือนจะชูประเด็นนั้นแบบชัดยิ่งขึ้น แต่อันนี้ก็คงต้องอยู่กับทัศนคติของท่านด้วยน่ะครับ เพราะบางมุมมันก็อาจจะโลกสวยเกิน ดูเป็นหนังการ์ตูนเกิน ซึ่งผมก็เข้าใจนะว่ามันก็ดูโลกสวยจริงๆ น่ะแหละ แต่ขณะเดียวกันก็เข้าใจในเจตนาที่พี่ Robert แกอยากสื่อออกมา ว่าคนเรานั้นเปลี่ยนแปลงได้น่ะแหละ เพียงแต่มันอาจไม่ได้ง่ายแบบในหนังเท่านั้นเอง

กลายเป็นว่าผมโอเคกับภาคนี้อยู่ครับ มันอาจไม่ได้ลงตัวอร่อยพอเหมาะเท่า 3 ภาคแรก แต่ก็ดูได้เพลินๆ (แน่นอนว่าท่านต้องปรับใจก่อนดูด้วยน่ะนะครับ ว่าหนังมันออกแนวเด็กแบบเฮฮาเอิ้กอ้ากมากมายเลยล่ะ)

เกือบๆ สองดาวครับ

Star12

(5.5/10)