
บอกแบบไม่อ้อมค้อม ตอนจบของ No One Will Save You นี่มันโดนเส้นผมซะจริงๆ ทำเอาผมรู้สึกชอบหนังเรื่องนี้ไปเลย
จริงๆ ระหว่างดูนี่ผมก็ชอบหนังในระดับหนึ่งน่ะนะครับ ทำออกมาได้ระทึกและน่าติดตามดี แม้จะมีช่วงช้าๆ บ้าง เรื่อยๆ บ้าง แต่โดยรวมผมรู้สึกบวกกับหนัง แต่ก็ยังไม่ถึงกับบวกสุดๆ หรือชอบมากๆ อะไร จนกระทั่งมาเจอตอนจบนี่แหละครับ ใจมันตะโกนก้องเลยว่า “ชอบ” แบบชัดเจน
ดูแล้วนึกถึง Signs บวกกับ A Quiet Place ครับ ตัวเอกของหนังคือบรินน์ (Kaitlyn Dever) สาวน้อยที่อยู่ในบ้านกลางชนบทตามลำพัง แล้วจู่ๆ คืนหนึ่งก็มีผู้บุกรุกเข้ามาในบ้าน และประเด็นก็คือ ผู้บุกรุกที่ว่านั้นไม่ใช่คนครับ แล้วตลอดทั้งเรื่องหนังก็จะวนอยู่กับบรินน์และการพยายามเอาตัวรอดของเธอ ให้พ้นจากเงื้อมมือของเหล่าผู้บุกรุกที่ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งคุกคามเธอหนักขึ้นเรื่อยๆ จนผมเองก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าเธอจะรอดพ้นจากเหตุการณ์ครั้งนี้ได้ยังไง
แน่นอนว่าถ้าผมพล่ามตอนจบมันก็คือสปอยล์ครับ ดังนั้นเดี๋ยวค่อยว่ากัน มาว่ากันถึงตัวหนังโดยรวมก่อน ก็บอกได้เลยครับว่าใครชอบหนังประเภทระทึกขวัญแบบเน้นบรรยากาศ เน้นสถานการณ์ชวนให้ตื่นเต้นในแบบไซไฟสักหน่อย ผมว่าเรื่องนี้เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวครับ ของดีอย่างแรกคือการแสดงของ Dever ที่มาพร้อมคาแรคเตอร์ที่ค่อนข้างชัด ใช่ครับ เธอไม่ได้แค่มาวิ่งหนีการตามล่า แต่เรายังจะได้รู้จักเธอมากขึ้นๆ ว่าเธอเป็นคนแบบไหน และเคยเจอเรื่องอะไรมาบ้าง ซึ่ง Dever เอาอยู่ครับ ทั้งเรื่องนี่เธอแทบจะแสดงคนเดียวเลย แต่ก็สามารถดึงความสนใจเราได้ตลอด
จุดนี้ก็ต้องชมเธอล่ะครับ เพราะถ้าแสดงไม่ดี เล่นได้ไม่ถึงหนังคงกลายเป็นน่าเบื่อไปแทน แล้วก็ต้องชมผู้กำกับ Brian Duffield ที่ควบเก้าอี้เขียนบทด้วย รายนี้ก็เขียนบทเกี่ยวกับตัวบรินน์ค่อนข้างดี และการวางสถานการณ์ในเรื่องก็ถือว่าน่าพอใจทีเดียว
สถานการณ์ระทึกในเรื่องก็มาแบบเรื่อยๆ ครับ ปฏิเสธไม่ได้ว่าบางโมเมนต์ผมก็แอบตะหงิดตะขิดตะขวงอยู่ในใจเหมือนกัน แต่หนังอาศัยการเดินเรื่องที่ค่อนข้างไวพรางจุดอ่อนบางประการของหนัง สำหรับผมแล้วหนังถือว่าดึงดูดความสนใจได้ตลอดครับ มีช่วงช้าๆ ที่ทำให้ตาเราละไปจากจอบ้าง แต่ก็ไม่มาก โดยรวมถือว่าดูสนุก แต่ต้องบอกก่อนว่าหนังนั้นกดดันเพียงระดับหนึ่งครับ ไม่ได้เครียดจัด หดหู่จัด หรือโหดจัด ฉากไล่ล่าของเหล่าผู้บุกรุกก็ไม่ได้รุนแรงอะไรมาก ดังนั้นใครคาดหวังหนังโหดเลือดสาดอวัยวะกระจุยนี่ต้องบอกไว้ก่อนว่าหนังไม่โหดถึงเพียงนั้น
พอลองมานึกย้อนไปนี่กลายเป็นว่าผมดูผลงานของ Duffield มาเกือบทุกเรื่องเลยนะครับ โดยเมื่อก่อนเขาเป็นคนเขียนบทครับ หนังอย่าง Insurgent, Jane Got a Gun, The Babysitter รวมถึงหนังลงน้ำที่ผมชอบอย่าง Underwater และหนังสัตว์ประหลาดที่ถูกใจผมอย่าง Love and Monsters ทั้งหมดนี่พี่เขาเขียนบทหรือไม่ก็ดัดแปลงบทหมดครับ ส่วนในฐานะผู้กำกับเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ 2 ครับ (เรื่องแรกคือ Spontaneous หนังรักวัยรุ่นเบาสมองผสมสยองหน่อยๆ) ซึ่งก็ถือว่าเขาคุมงานได้อยู่ครับ อาจจะไม่ถึงกับยอดเยี่ยมสุดๆ แต่ก็ถือว่าอยู่ในแดนบวกล่ะครับ
เอาล่ะเดี๋ยวเราจะเข้าโซนสปอยล์แล้วนะครับ เอาเป็นว่าขอสรุปไว้เบื้องต้นตรงนี้ว่าเป็นหนังระทึกไซไฟที่ทำออกมาได้เข้าท่าเรื่องหนึ่ง อาจไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้สึกโดนกับหนังน่ะนะครับ แต่ใครชอบหนังสไตล์ตัวละครหนึ่งโดนตามล่าและต้องหาทางรอดแบบไซไฟๆ ผมว่าเรื่องนี้คุ้มกับการรับชมครับ – นี่ผมก็กะว่าจะเก็บอีกสักรอบนะ มันถูกใจพิลึกเลย โดยเฉพาะตอนจบนี่แหละ ^_^
สองดาวครึ่งครับ

(7/10)
=========
=========
สปอยล์ละนะครับ
=========
=========

ยอมรับว่าระหว่างดูนี่ผมก็ลุ้นอยู่เหมือนกันนะ ว่าหนังจะไปจบลงตรงไหน และช่วงท้ายนี่หนังก็เหมือนเล่นกับการคาดเดาของเราน่ะครับ เพราะมันมีจังหวะที่หนังทำท่าว่าจะจบอยู่หลายรอบ อย่างตอนที่บรินน์โดนปรสิตเข้าตัวแล้วก็ตื่นขึ้นมาคล้ายว่าเธอฝันไป ใจผมก็คิดนะว่าตกลงจะจบแบบนี้หรือ แต่ก็เปล่าครับ แล้วหนังก็เดินเรื่องต่อ แล้วทำท่าจะจบแบบนั้นแบบนี้ เอาล่อเอาเถิดกับการคาดเดาของเราอยู่หลายรอบ
ครั้นพอหนังถึงตอนจบจริงๆ นี่ผมอึ้งนิดๆ นะ ก่อนจะพยักหน้ายอมรับในสิ่งที่หนังนำเสนอ มันรู้สึกเข้าใจและรู้สึกชอบสำหรับตอนจบแบบนี้
สรุปว่าตอนจบคือบรินน์ไม่โดนปรสิตสิงเหมือนคนอื่นๆ ครับ ประมาณว่ามนุษย์ต่างดาวหลังจากสำรวจอดีตของเธอแล้ว ก็ตัดสินใจปล่อยเธอไป ให้เธอมาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางมนุษย์ที่โดนปรสิตสิง แต่กลายเป็นว่าโลกใบที่เธออยู่เวอร์ชั่นล่าสุด (เวอร์ชั่นที่โดนมนุษย์ต่างดาวครอง) กลายเป็นอะไรที่เหมาะกับเธอ และเธอแฮ้ปปี้กับมัน
ถ้าถามว่าทำไมมนุษย์ต่างดาวถึงปล่อยเธอ ผมก็เดาว่าคงเพราะมนุษย์ต่างดาวตระหนักน่ะครับว่าผู้หญิงคนนี้แม้จะเป็นมนุษย์โลก แต่ก็แตกต่างจากคนอื่น เป็นประหนึ่งคนนอกของสังคม ผู้คนปฏิบัติต่อเธออย่างไม่ดีนัก อันเนื่องมาจากเธอเคยทำให้เพื่อนตายเมื่อสมัยยังเด็ก เธอเลยไม่เหลือใคร (เพราะแม่ก็ตายจากเธอไปแล้ว) เธอเข้ากับใครไม่ได้ เวลาจะเข้าเมืองแต่ละทีก็ต้องทำใจ รวบรวมความกล้า และพยายามปั้นหน้าสุดชีวิต – เห็นได้จากเธอพยายามยิ้มให้ทุกคน โบกมือให้ใครๆ แต่ก็ไม่มีใครสนใจจะโบกมือตอบกลับมา
หรือกระทั่งเกิดเหตุมนุษย์ต่างดาวบุก เธอก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าจะหันหน้าไปหาใคร
เธอมีงานอดิเรกคือสะสมบ้านจำลอง สร้างเมืองจำลองในบ้านของเธอเอง – สะท้อนเลยว่าเธอไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของเมืองได้ เธอเลยต้องมาสร้างเมืองสร้างโลกในจินตนาการของตัวเอง ต้องมาเต้นรำเพียงลำพัง ท่ามกลางบทเพลงที่เต็มไปด้วยความรู้สึก “แบบมิตรๆ”
ว่าง่ายๆ เธอก็คือเอเลี่ยนเดินดินคนหนึ่งสำหรับโลกนั่นแหละครับ
ครั้นพอถึงตอนจบ กลายเป็นว่าโลกหลังโดนมนุษย์ต่างดาวบุกยึดนั้นกลายเป็นโลกที่เหมาะกับเธอ ทั้งเพื่อนบ้านและชาวเมืองต่างก็เป็นมิตรกับเธอแทน
เป็นตอนจบที่แสบดีเลยครับ เพราะตามปกติหนังมนุษย์ต่างดาวบุกโลกแบบนี้ มักจะจบแค่ 2 แบบ คือแบบแฮ้ปปี้แบบที่มนุษย์เอาชนะพวกต่างดาวได้ หรือไม่ก็จบแบบ Sad มนุษย์เอาชนะพวกต่างดาวไม่ได้และโลกถูกยึด
แต่สำหรับหนังเรื่องนี้ กลายเป็นว่าท่ามกลางโลกที่ถูกยึด ท่ามกลางร่างมนุษย์ที่โดนปรสิตสิง ยังมีหญิงสาวนางหนึ่งที่รู้สึกกลายเป็นว่า “โลกนี้อยู่ง่ายขึ้นและน่าอยู่ขึ้นสำหรับเธอ”
แน่นอนว่าหนังสามารถตีความได้หลายแบบครับ จะตีความว่าเธอฝันอยู่ก็ได้ หรือจะตีความว่ามันคือโลกจริงๆ ก็ได้ แต่ผมก็ตามไปอ่านบทสัมภาษณ์ของผู้กำกับ Duffield ซึ่งเขาสรุปว่า ตอนจบแบบนี้คือตอนจบแบบที่บรินน์แฮ้ปปี้ แต่ไม่ใช่ตอนจบที่แฮปปี้สำหรับโลกทั้งใบ – แบบนี้ก็ได้หรือนี่ 555 เป็นอะไรที่แสบดีครับ และผมชอบทีเดียวล่ะ
เหมือนสะท้อนความจริงว่าบ่างทีโลกนี้ก็อยู่ยากสำหรับบางคนนะ และกลายเป็นว่าหากโลกนี้มีกลายเปลี่ยนแปลงไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ แม้คนส่วนใหญ่อาจไม่ชอบ แต่อาจมีคนส่วนน้อยรอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบนั้นอยู่ก็ได้ – Happy Ending บางทีก็ขึ้นกับมุมมองครับ – อะไรแบบนี้ทำให้เข้าใจมิติอันหลากหลายและแตกต่างของคนมากขึ้น
หมวดหมู่:Horror, Movie Reviews, Sci-Fi, Thriller










