
สำหรับ ดอกไม้กับนายกระจอก – An Autumn’s Tale ผมขอยกให้หนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในผลงานระดับมาสเตอร์พีซของทุกคนที่เกี่ยวข้องเลยครับ เป็นหนังที่ดูกี่ทีก็ประทับใจและได้รอยยิ้มเสมอ
สิ่งที่ผมรู้สึกทุกครั้งยามดูหนังเรื่องนี้ก็คือ แม้นี่จะเป็นหนังฮ่องกง แต่สไตล์การเล่าเรื่องมีความเป็นอินเตอร์อย่างยิ่ง เพราะปกติหนังฮ่องกงจะมีสไตล์ที่โฉ่งฉ่าง การร้อยเรียงฉากต่างๆ มักจะดูรีบเร่ง และบางทีก็ชอบเล่าเรื่องแบบแวะไปเล่าเรื่องนั้นทีเรื่องนี้ที ทำให้ความกลมกล่อมบางประการอีกทั้งความต่อเนื่องทางอารมณ์ขาดหายไป แต่ไม่ใช่กับเรื่องนี้ครับ เพราะการเล่าเรื่องมัน Smooth กลมกล่อมเป็นเนื้อเดียว อีกทั้งไม่หวือหวาโฉ่งฉ่าง ไม่ตั้งหน้าตั้งตาบิ้ว แต่จะปล่อยให้เหล่าดาราเป็นคนนำพาอารมณ์ของเรื่องราวไป
พล็อตเล่าง่ายมากครับ เจนนี่ (จงฉู่หง, Cherie Chung) ตั้งใจจะไปเรียนต่อที่นิวยอร์ก (เหตุผลหนึ่งก็เพราะแฟนหนุ่มของเธอเรียนอยู่ที่นั่น) โดยเธอไปพักอยู่กับญาติของคนรู้จัก นายคนนี้มีฉายาว่า สำปั้น (โจวเหวินฟะ, Chow Yun-Fat) ซึ่งออกแนวเป็นหนุ่มกะล่อนทะเล้น ชอบทำอะไรเว่อร์ๆ เล่นใหญ่จนเจนนี่เองก็รู้สึกไม่ถูกชะตาในตอนแรกๆ
แต่ก็นั่นล่ะครับ พอพวกเขาผ่านอะไรมาด้วยกัน ได้คลุกคลีพูดคุยและรู้จักกัน ความรู้สึกดีๆ ก็เกิดขึ้นจนได้
ผมรู้ครับว่าหลายท่านจะมองว่าพล็อตมันซ้ำ แต่ก็อย่างที่ผมบอกครับว่า พล็อตซ้ำไม่ใช่เรื่องใหญ่ สิ่งสำคัญมันอยู่ที่การเล่าเรื่อง การปรุง การผสมผสานให้รสชาติออกมาอร่อย อีกอย่างคือหนังเรื่องนี้อายุปาเข้าไปจะ 40 ปีแล้วครับ ถ้าจะบอกว่าหนังเรื่องนี้ถือเป็นหนึ่งในต้นตำรับที่ลงตัวสำหรับพล็อตแบบนี้ก็คงไม่ผิดอะไร
ผมดูหนังเรื่องนี้มาหลายรอบแล้วครับ และหลายช่วงเวลาด้วย ผมเคยดูมันในยามกลางวัน แล้วก็เคยดูอีกรอบตอนช่อง 3 เอามาฉายตอนดึกๆ แล้วล่าสุดก็เปิดดูตอนเช้าตรู่ระหว่างออกกำลังกาย ซึ่งแต่ละครั้งและแต่ละช่วงเวลามันก็ให้อารมณ์ที่ต่างกันไปครับ อย่างดูตอนดึกนี่มันให้อารมณ์เหงาๆ หนาวๆ จนต้องเอามือขึ้นมากอดตัวเองเอาไว้ หรือการดูตอนเช้ามันก็ให้อารมณ์อบอุ่นเล็กๆ ยิ่งพอดูจบแล้วหันมองไปที่ดวงอาทิตย์นี่มันจะรู้สึกเลยครับว่าดวงอาทิตย์วันนี้ดูมีประกาย ดูสดใสยังไงก็ไม่รู้

ความกลมกล่อมของหนังเกิดจากการผสมผสานกันของหลายองค์ประกอบครับ สิ่งแรกต้องยกให้การแสดงเยี่ยมๆ ของพระนาง อย่างเฮียโจวนี่แกเล่นได้ทุกบทครับ จะฮาก็ได้ จะดราม่าก็ได้ จะแอ็คชั่นเน้นศักดิ์ศรีก็ได้ ส่วนเรื่องนี้ถือว่าเป็นส่วนผสมระหว่างบทดราม่าและบทฮาๆ เขาเป็นหนุ่มกะล่อนที่พร้อมจะโปรยอารมณ์ขันได้ทุกเมื่อ จนเหมือนกับว่าเขาไม่ค่อยจริงจังกับชีวิต ดูสรรพสิ่งรอบตัวเป็นเรื่องขำขันไปหมด แต่บางสิ่งเริ่มแปรเปลี่ยนไปเมื่อเขาได้รู้จักกับเจนนี่ ตอนแรกเขาก็มองเธอเป็นผู้หญิงธรรมดาที่ต้องดูแลตามคำขอร้อง แต่เมื่อเขาได้สัมผัสกับตัวตนของเธอ ไม่ว่าจะด้านอ่อนแอหรือด้านเข้มแข็ง แววตาของเขาที่มีต่อเธอก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป จากไม่สนใจเป็นหันมาใส่ใจ จากเป็นคนง่ายๆ ก็เริ่มใส่ใจรายละเอียดเกี่ยวกับเธอ… เฮียโจวทำให้ผมเชื่อครับ ว่าเขารู้สึกบางอย่างกับผู้หญิงคนนี้จริงๆ
จงฉู่หงก็พอกันครับ เธอถ่ายทอดบทสาวหวานที่ดูเหมือนจะอ่อนแอแต่แฝงไว้ด้วยความเข้มแข็ง และตอนแรกสายตาที่เธอมองสำปั้นนั้นก็ไม่ค่อยจะเป็นเชิงบวกนัก แต่พอเวลาผ่านไป พอเธอได้พบเจอเรื่องทั้งร้ายดี และได้เห็นด้านหล่อๆ ของสำปั้น แววตาของเธอที่มีต่อเขาก็เปลี่ยนไป ท่าทางของเธอยามมีเขาอยู่ใกล้ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน… จงฉู่หงน่ารักมากๆ กับบทนี้ครับ และเธอดูเหมาะกับเฮียโจวอย่างยิ่ง เคมีของทั้งสองเข้ากันอย่างพอดิบพอดี ดูแล้วเชื่อครับว่าเรากำลังได้เห็นการเชื่อมของหากันของใจสองดวง – ดูแล้วมันอบอุ่นจริงๆ ครับ
อีกอย่างนะครับ แววตาตอนที่ทั้งสองมีความรู้สึกดีๆ ให้กัน ผมว่าเจ๋งแล้วนะ แต่แววตายามที่พวกเขาต้องแสร้งทำเป็นไม่สนใจกันและกัน หรือยามต้องทำตัวตรงข้ามกับสิ่งที่อยู่ในใจ อยากบอกว่าแววตาชุดนี้เจ๋งสุดๆ สื่ออารมณ์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ และถึงอารมณ์อย่างยิ่ง – บางฉากนี่อาจทำให้ใครก็ตามที่เคยมีประสบการณ์ประมาณว่า “เราแอบชอบเขา แต่ต้องฝืนทำเป็นว่าไม่ได้ชอบเขาสักหน่อย” หรือ “พยายามทำตัวเป็นปกติ ยามที่เห็นเขาอยู่กับแฟน” เชื่อว่าใครมีประสบการณ์เหล่านี้ ท่านจะพบว่าบางฉากในหนังนั้น “Real โคตรๆ” และ “โดนจังๆ”
ดาราในเรื่องถือว่าท็อปฟอร์มครับ สิ่งท็อปต่อมาคือดนตรีประกอบของ Lowell Lo ที่มาพร้อมลีลาง่ายๆ แต่กินใจ บางฉากให้อารมณ์อบอุ่น บางฉากสื่อถึงห้วงของความเปลี่ยวเหงา ซึ่งดนตรีธีมหลักของหนังจะค่อยๆ ซึมเข้าสู่ความรู้สึกของเราทีละน้อยๆ และพอถึงฉากพีค ดนตรีที่ว่าก็สามารถทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์ครับ
พอผมพูดถึงฉากพีค หลายท่านอาจคิดว่า “อ๋อ ดนตรีมันซึ้งใช่ไหม เลยทำให้ฉากพีคนั้นซึ้งจนน้ำตาไหลใช่ไหมล่า” – ก็อาจใช่ครับ สำหรับบางคนนะ ผมเชื่อว่าต้องมีคนน้ำตาไหล แต่สำหรับผม ท่วงทำนองของธีมหลักมันไม่ได้สื่อแค่ความรัก แต่มันสื่อถึงความเข้าใจ ความห่วงใย มันอัดแน่นด้วยความโหยหา มันเจือด้วยช่องว่างบางอย่างและความต่างบางประการที่ทั้งสองมี แต่ขณะเดียวกันมันก็สื่อถึง “ใจสองดวงที่ค้นหากันจนเจอ” ซึ่งอะไรเหล่านี้เป็นเรื่องที่ชวนให้อิ่มเอมครับ ดังนั้นสำหรับผมแล้ว ห้วงอารมณ์ที่ผมจะนิยามได้ตรงตามที่ผมคิดที่สุด คงเป็นอันนี้ล่ะ “มันฟังแล้วอิ่มเอม – มันคือ Beautiful Moment – มันคือ Precious Moment”
ผมอาจจะเว่อร์นะ หากจะบอกว่าฉากพีคของเรื่อง คือหนึ่งในซีนที่คลาสสิคที่สุดระดับ Top 10 ของหนังแนวโรแมนติก – ครับ ผมอาจเว่อร์ แต่ผมมั่นใจว่าผมไม่ได้โกหก…

และบทความนี้จะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์เลยหากผมไม่กล่าวถึงการถ่ายภาพเยี่ยมๆ – อย่างที่บอกครับว่าหนังมีความเป็นอินเตอร์ และพลังสำคัญที่ทำให้เป็นเช่นนั้นก็ด้วยพลังของภาพครับ หนังจับภาพสวยๆ ของมหานครนิวยอร์คมาใส่ใจได้อย่างพอเหมาะ โดยเฉพาะภาพใบไม้สีเหลืองสลับส้มในสวนสาธารณะและตามถนน เป็นภาพที่สวยและได้อารมณ์มากครับ อีกทั้งการร้อยเรียงแต่ละซีนแต่ละฉากมันมีความละมุน มันมีชีวิตชีวา มันมีท่วงทำนองของมัน บางจังหวะก็ต่อเนื่อง แต่บางจังหวะก็เหมือนเว้นช่องว่าง – ประหนึ่งห้วงลมหายใจ มีเข้า มีออก มีผ่อน มีชะลอ – ขอชื่นชมงานถ่ายภาพของ David Chung และ James Hayman อีกทั้งการตัดต่อร้อยเรียงของ Sun-Kit Chu ครับ
นี่คืองานกำกับแบบเต็มตัวเรื่องแรกของ Mabel Cheung ครับ (เรื่องก่อนหน้าเธอทำร่วมกับ Wanting Zhang ครับ) และผลที่ได้คือความกลมกล่อม อร่อยลิ้น อบอุ่น สวยงาม อิ่มเอม เปี่ยมสุขคลุกเศร้า ทุกอย่างในหนังดูเรียบง่ายครับ มันไม่หวือหวา ไม่ได้อาร์ทจ๋า ไม่ได้ท่าเยอะ แต่มัน Touch ครับ และมัน Perfect มากในความรู้สึกผม
และหนังเรื่องนี้ก็ได้ประกาศศักดาในงาน Hong Kong Film Awards ครับ คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม, ถ่ายภาพยอดเยี่ยม และดนตรีประกอบยอดเยี่ยม ส่วนอีก 3 รางวัลที่พลาดไปคือผู้กำกับยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม และนักแสดงนำหญิง แต่สำหรับรางวัลนักแสดงนำชายนั้น จะว่าพลาดไปก็ไม่เชิงครับ เพราะปีนั้นเฮียโจวแกได้เข้าชิงรางวัลนี้คนเดียวจากหนัง 3 เรื่อง ได้แก่เรื่องนี้, จากเรื่องเถื่อนตามดวง (City on Fire) และ เดือด 2 เดือด (Prison on Fire) และเฮียเขาก็คว้ารางวัลไปจากบทในเรื่องเถื่อนตามดวงครับ – นี่คือแข่งกับตัวเองของแท้เลยล่ะ
ใครยังไม่ชมก็อยากให้ลองชมครับ ส่วนใครชมแล้วถ้าอยากจัดซ้ำก็จัดเลยครับ ส่วนผมนั้น บอกได้เลยว่าชอบมากจริงๆ ชนิดที่ยกให้ติดอันดับ Top 10 หนังโรแมนติกตลอดกาลในดวงใจเลย
สามดาวสิครับ

(8/10)











