
The Bank Job นี่ชอบตั้งแต่รอบแรกที่ดู ครั้นมาดูรอบใหม่ก็ยังชอบอยู่ครับ เพราะหนังมันเข้มข้นได้ที่เหลือเกิน
หนังสร้างจากเค้าโครงเรื่องจริงของการปล้นธนาคารครั้งประวัติศาสตร์ หลักๆ คือทีมปล้นที่นำโดยเทอร์รี่ เลธเธอร์ (Jason Statham) ได้รับการชี้ช่องจากใครบางคนให้เจาะเซฟของธนาคารลอยส์ แต่ที่พวกเขาไม่รู้เลยก็คือการปล้นครั้งนี้กำลังจะนำเรื่องวุ่นวายขนานใหญ่มาสู่ชีวิตของทุกคนที่เกี่ยวข้อง
จุดเด่นของหนังเรื่องนี้คือหนังจัดว่าครบวงจรครับ เพราะปกติหนังแนวปล้นนี่เราก็มักจะได้เห็นแต่ฉากการปล้นที่ตื่นเต้นเร้าใจ และมักจะลงเอยด้วยความสำเร็จของการปล้น ก่อนที่ตัวละครจะแยกย้ายกันไปใช้เงินที่ปล้นมาอย่างผู้ชนะ แต่สำหรับเรื่องนี้นี่ ที่เล่าไปมันครึ่งเดียวครับ เพราะมันยังมีครึ่งหลังที่ว่าด้วย “ผลพวงอันเกิดจากการปล้น” ที่ตามมาหลอกหลอนทีมของเทอร์รี่ แล้วไม่ใช่แค่หลอกหลอนน่ะครับ แต่ส่งผลถึงขั้นเป็นตายทีเดียว
ต้องบอกก่อนว่านี่ไม่ใช่หนังแอ็คชั่นครับ หนังไม่ได้ไล่ล่า แอ็คชั่นตีกันหรือสาดกระสุน จริงๆ หนังออกแนวดราม่าผสมโจรกรรมแล้วเสริมความด้วยระทึกขวัญมากกว่า ซึ่งถือว่าหนังทำได้ดีเลยครับ แต่ละช่วงทำได้น่าติดตาม ช่วงต้นๆ อาจเดินเรื่องแบบช้าสักหน่อยในการปูพื้นซึ่งเป็นถือเป็นท่ามาตรฐานของหนังแนวนี้อยู่แล้วน่ะนะครับ ครั้นพอถึงฉากโจรกรรมก็ถือว่ากลางๆ ไม่ได้มันส์มากหรือเร้าใจอะไรมาก แต่ก็ถือว่าทำได้พอเหมาะสำหรับการปล้นที่ไม่ได้ไฮเทคโอเวอร์อะไรมากมาย มันดูเป็นการปล้นแบบที่เป็นไปได้น่ะครับ
แต่ความสนุกจริงๆ จะมาตอนครึ่งหลังเมื่อทีมของเทอร์รี่ถูกไล่บี้เช็คบิล ช่วงที่ว่านี่ก็ต้องลุ้นกันเยอะอยู่ ว่าสุดท้ายแล้วใครจะอยู่ใครจะตาย จะต้องมีใครสังเวยชีวิตไปกับการปล้นครั้งนี้บ้าง และเทอร์รี่กับพวกจะแก้เกมอย่างไร ช่วงหลังนี่ก็ถือว่าน่าติดตามและมีอะไรให้ลุ้นอยู่ไม่น้อย และขณะเดียวกันหนังก็ไม่ได้ละเลยเรื่องเชิงดราม่าครับ เพราะเหล่าตัวละครทั้งหลายต่างก็ต้องได้รับผลจากการกระทำของตน ในแง่หนึ่งก็แอบสอนคนดูน่ะครับว่าการปล้นการขโมยนั้น มันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแบบหนังตระกูล Ocean’s หรอก แต่มันจะมีผลที่ตามมาเสมอ (และมักไม่ใช่เรื่องดีซะด้วย)
ถือเป็นผลงานชั้นดีอีกเรื่องในทำเนียบการแสดงของ Statham อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้ไม่ได้เน้นแอ็คชั่น ซึ่ง Statham ก็พิสูจน์ตัวเองอีกครั้งว่าเขาไม่ได้มีดีแค่เรื่องบู๊ครับ เรื่องเชิงดราม่าหรือซีนอารมณ์พี่แกก็เล่นได้ ในขณะที่ดารารายอื่นๆ ต่างก็เข้ากับบทครับ ช่วยเสริมความนน่าดูให้กับหนังได้อย่างดี

ดูหนังเรื่องนี้แล้วสะท้อนความจริงประการหนึ่งของโลกครับ นั่นคือ คนมากมายอาจมี “ความลับ” ที่ซ่อนอยู่หลังตู้เซฟ ไม่ว่าฉากหน้าจะดูดีพูดดีมาดดีหรือแบคกราวด์ดีแค่ไหนก็ตาม ผมจะไม่สรุปตีความว่ามันดีหรือมันแย่ครับ แค่นึกเพื่อตระหนักและบอกตัวเองว่าอย่าด่วนสรุปใครๆ ง่ายๆ เพียงสิ่งที่ตาเห็น เราควรต้องพิจารณาองค์ประกอบแวดล้อมให้รอบด้าน รวมถึงต้องรู้จักค้นหาหลักฐานมาประสานความจริงและแยกแยะความเท็จ – เพราะมิติของคนแสนซับซ้อนครับ
และอีกประการคือ ไม่ว่าจะในโลกเบื้องหน้าหรือโลกเบื้องหลัง ไม่ว่าจะในที่ลับหรือที่แจ้ง ก็ดูเหมือนว่าคนที่ต้องรับเคราะห์อยู่เสมอๆ ก็คือคนระดับรากหญ้าทั่วไปนี่แหละ ใช้ชีวิตปกติก็ต้องกล้ำกลืนกับผลลัพธ์หลายๆ อย่างจากการกระทำของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า ครั้นในโลกแห่งอาชญากรรมอย่างในเรื่องนี้ก็ยังไม่วายครับ ยังโดนตามล้างตามล่าตามฆ่าตามขู่จากสารพัดผู้มีอำนาจน้อยใหญ่ – นึกแล้วได้แต่เอามือลูบหน้าแล้วแค่นหัวเราะเบาๆ
และถือเป็นผลงานที่น่าจดจำอีกเรื่องของผู้กำกับ Roger Donaldson (Species, Dante’s Peak, Kevin Costner, Thirteen Days, The Recruit, The World’s Fastest Indian) จังหวะจะโคนในการเล่าถือว่าเข้มได้ที่ ลงตัวพอเหมาะ ได้รสครบทั้งความตื่นเต้น ความระทึก บางฉากก็เขย่าขวัญคนดูได้ไม่น้อย และขณะเดียวกันก็ยังสามารถเหยาะอารมณ์ขันเบาๆ ลงไปได้ให้หนังกลมกล่อมขึ้น
ตัวหนังถือว่าประสบความสำเร็จในระดับกลางๆ ครับ ลงทุนไป $20 ล้าน ได้คืนมา $64 ล้านจากทั่วโลก ก็พอใช้ได้ แค่ไม่เยอะมากเท่านั้นเอง
เกร็ดเล็กๆ ของหนังก็คือ ตอนแรกโปรเจคท์นี้ไปอยู่ในมือของ Elie Samaha (แห่ง Franchise Pictures) และวางตัวผู้กำกับไว้ว่าจะเป็น Harold Becker (Sea of Love, City Hall และ Mercury Rising) ส่วน Statham ก็เซ็นต์สัญญาว่าจะแสดงนำตั้งแต่ต้น แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้สร้างจนกระทั่งบทหนังตกมาอยู่ที่ Omnilab Media โปรเจคท์ถึงเดินหน้าอีกครั้ง แล้วก็ออกมาเป็นหนังเรื่องนี้ครับ
สรุปว่าเป็นแนวโจรกรรมผสมระทึกขวัญที่ค่อนข้างเข้มข้น คุ้มค่าแก่การรับชมครับ
สองดาวครึ่งครับ

(7/10)
หมวดหมู่:Crime, Drama, Movie Reviews, Recommended Movies, Thriller










