รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

Freaky Friday (2003) ศุกร์สยอง สองรุ่นสลับร่าง

Untitled08423

ผมดู Freaky Friday โดยชวนให้ภรรยาและลูกสาวตัวเล็กมานั่งดูด้วยกันครับ เพราะผมมั่นใจว่านี่เป็นหนึ่งในหนังที่แม่กับลูกสาวควรมานั่งดูด้วยกันแบบสุดๆ แล้วล่ะ

พล็อตเรื่องมาในแนวสลับร่างสร้างรักครับ คุณแม่เทสส์ (Jamie Lee Curtis) กับคุณลูกแอนนา (Lindsay Lohan) ถือเป็นแม่ลูกมวยคู่เอกที่มีเรื่องให้เห็นแย้งทะเลาะเบาะแว้งกันไม่เว้นแต่ละวัน แล้วอยู่มาวันหนึ่งก็เกิดเรื่องพิลึกเมื่อทั้งสองสลับร่างกัน พวกเธอก็เลยต้องใช้ชีวิตอยู่ในร่างของอีกคน อันนำมาสู่การสร้างความเข้าใจกันและกันว่าชีวิตของอีกฝ่ายนั้นมันยากเพียงไหนและต้องเจอกับอะไรบ้าง

นี่เป็นหนังรีเมคครับ ฉบับแรกคือฉบับปี 1976 เวอร์ชั่นนั้น Barbara Harris รับบทเป็นแม่ ส่วน Jodie Foster แสดงเป็นลูก ซึ่งตัวหนังก็สนุกสนานวุ่นวายตามสไตล์หนังดิสนี่ย์สมัยก่อน เพียงแต่เรื่องราวอาจไม่ได้ลึกซึ้งอะไรนัก ซึ่งจะว่าไปผมชอบฉบับแรกกับฉบับนี้พอๆ กันครับ เพียงแต่หากว่ากันในแง่ความสนุกแล้ว ฉบับนี้อาจจะเพลินกว่า ฉับไวกว่า ซึ่งก็เป็นไปตามยุคสมัยน่ะครับ

และจริงๆ หนังยังมีฉบับทีวีปี 1995 ด้วย อันนั้นได้ Shelley Long มาเล่นคู่กับ Gaby Hoffmann และมีฉบับใหม่ (ฉายทีวีเหมือนกัน) ปี 2018 Heidi Blickenstaff และ Cozi Zuehlsdorff มารับบทคุณแม่และคุณลูก แต่ 2 ฉบับนี้ยังไม่เคยดูครับ เลยของดออกความเห็น

สำหรับฉบับนี้หนังก็ทำออกมาดูเพลินดีครับ สนุกสนาน โปกฮา จุดเด่นต้องยกให้กับการแสดงของ 2 ตัวหลักที่ถือว่าสวมบทได้ดีครับ ตอนเป็นร่างตัวเองก็แบบหนึ่ง ตอนสลับร่างก็อีกแบบหนึ่ง ถือว่าสลับบทกันได้โอเค ดูแล้วพอจะเชื่อได้ว่าพวกเขากำลังสลับร่างกัน

ว่ากันว่าตอนแรกจะผู้อำนวยการสร้างเชิญ Jodie Foster ผู้รับบทลูกจากฉบับแรกมาแสดงเป็นแม่ในฉบับนี้ แต่ Foster ก็บอกปัดไปครับ เนื่องจากเธอเกรงว่าการมารับบทแม่ของเธอจะทำให้คนที่มารับบทลูกเกิดอาการเกร็ง เนื่องจากเธอแสดงไว้ในต้นฉบับ ก็เรียกว่าเป็นการตัดสินใจโดยคำนึงถึงรายละเอียดทางความรู้สึกเป็นหลักครับ

Untitled08422

และนอกจากนี้คนที่มีการเล็งว่าจะให้มารับบทแม่ยังมี Sigourney Weaver และคนที่เกิอบจะได้เล่นก็คือ Annette Bening แต่สุดท้ายเธอก็บอกปัดครับ ส่งผลให้ทีมงานต้องรีบหาคนมาแทน และ Curtis ก็ได้บทไป ซึ่งเธอเองมีเวลาเตรียมตัวก่อนเปิดกล้องเพียง 6 วันเท่านั้น (เพราะ Bening บอกปัดค่อนข้างกระชั้น)

ขณะเดียวกันตอนแรกได้มีการแคส Michelle Trachtenberg ให้มารับบทแอนนา แต่เธอก็มาแสดงไม่ได้เพราะติดสัญญาอยู่กับซีรี่ส์ Buffy the Vampire Slayer ส่งผลให้นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่เธอบอกปัดบทแล้ว Lohan ก็มารับบทไป (ครั้งแรกคือตอน The Parent Trap ครับ – และนี่ก็ทำให้ Lohan ได้แสดงหนังรีเมคของ Disney เป็นครั้งที่ 2 เพราะ The Parent Trap ก็รีเมคเหมือนกัน)

หนังดูได้เพลินๆ สนุกดี ในแง่เหตุผลก็อาจต้องลืมๆ ไปบ้าง ส่วนในแง่สาระหนังก็มาพร้อมประเด็นคลาสสิกของหนังครอบครัวครับ นั่นคือการส่งเสริมให้คนในครอบครัวหันหน้าเข้าหากัน ลดช่องว่างระหว่างกัน รวมถึงเชื่อมช่องว่างระหว่างวัย

ผมชอบที่หนังสื่อภาพความรักของแม่ลูกคู่นี้แบบง่ายๆ ครับ ในตอนต้นแม้เราจะได้เห็นแม่ลูกคู่นี้ตีกันเกือบตลอดก็ตาม แต่พอถึงฉากที่พวกเธอไปเข้าห้องน้ำในร้านอาหารจีนแล้วเกิดเหตุแผ่นดินไหวประหลาด ในนาทีนั้นจริงๆ ทั้งคู่เพิ่งทะเลาะกันหมาดๆ แต่พอเกิดเรื่องสิ่งที่พวกเธอแสดงออกแทบจะทันทีก็คือความห่วงใย ฉากนั้นต่างคนต่างลืมไปเลยว่าเมื่อกี้ทะเลาะกัน แล้วก็รีบโผเข้าหากันพร้อมถามไถ่ว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรไหม ได้รับอันตรายหรือเปล่า

ฉากเล็กๆ ฉากนี้สื่อได้ดีครับว่าแท้จริงแล้วพวกเธอก็รักและห่วงใยกันเสมอนั่นแหละ เพียงแต่ถูกความไม่เข้าใจและถูกอารมณ์เชิงลบบังหูบังตาไปเท่านั้นเอง

หนังบอกเราแบบตรงๆ ครับว่าคนในครอบครัวควรมีเวลาให้กัน อย่าด่วนใช้อารมณ์หรือมาตรฐานส่วนตนตัดสินอีกฝ่าย เราควรเปิดใจรับฟังเรื่องราวและความรู้สึกของกันและกัน และในบางครั้งการใช้เวลาร่วมกัน เปิดใจคุยแบ่งปันประสบการณ์ต่อกัน ก็เป็นอีกหนึ่งทางที่จะเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างกันได้ – การปิดปากเงียบต่างคนต่างอยู่ รังแต่จะทำให้ช่องว่างขยายขนาดมากขึ้นทุกที

หากยามไหนที่คนในครอบครัวเจอปัญหา เจอวิบากกรรม แม้บางครั้งเราอาจจะช่วยแก้ปัญหาให้อีกฝ่ายไม่ได้ แต่อย่างน้อยการเป็นผู้รับฟัง คอยเป็นอะไรสักอย่างให้อีกฝ่ายได้พึ่งพิงอิงเอน นั่นก็นับว่าโอเคแล้วครับ – ดีกว่าตั้งแง่ใส่กัน หาเรื่องต่อกัน ซ้ำเติมทับถมกัน อีกฝ่ายคงคิดว่าเจอปัญหานอกบ้านแล้ว ยังมาเจอศึกในบ้านอีก แบบนี้บ้านย่อมไม่เป็นบ้าน

Mark Waters ถือว่าคุมหนังได้โอเคครับ อาจไม่ถึงขั้นยอดเยี่ยม แต่ก็นับว่าโอเค ดูได้เพลินๆ จบอย่างมีความสุข และได้สาระเล็กๆ น้อยติดหัวกลับไปด้วย – อีกฉากที่ดูแล้วรู้สึกดีคือตอนที่แอนนาในร่างคุณแม่ไปพบความจริงว่าน้องชายตัวน้อยที่คอยแกล้งกวนพี่สาวอย่างเธออยู่ตลอดนั้น แท้จริงๆ แล้วเจ้าน้องชายก็แอบชื่นชมพี่อยู่เหมือนกัน ถือเป็นรายละเอียดเล็กๆ ที่น่ารักดีครับ

ตัวหนังประสบความสำเร็จอย่างสวยงามครับ ทำเงินในอเมริกาไป $110 ล้าน (ถ้ารวมทั่วโลกก็เป็น $160 ล้าน) ในขณะที่ทุนสร้างนั้นเพิ่งจะ $20 ล้านเท่านั้นเอง ถือเป็นช่วงขาขึ้นของ Lohan ที่หลังจากเรื่องนี้เธอก็ไปดังต่อกับ Mean Girls แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่กี่ปีหลังจากนั้นเธอก็ต้องพบกับช่วงขาลงในที่สุด

เมื่อดูหนังจบผมก็แอบคิดนะครับ ว่าภรรยากับลูกสาวของผมที่นั่งดูหนังเรื่องนี้ด้วยกัน พวกเธอจะคิดอะไรอยู่… ผมไม่รู้… แต่สำหรับผม การได้เห็นภาพพวกเขานั่งดูหนังเรื่องนี้ด้วยกัน มันเป็นภาพที่น่ารักครับ และผมชอบภาพแบบนี้จัง

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)