
หากเอลเลน ริปลี่ย์ คือคู่ปรับตลอดกาลของเอเลี่ยนแล้วล่ะก็ นายเบิร์ต กัมเมอร์ (Michael Gross) นี่ก็ถือว่าเป็นคู่แค้นอมตะของเหล่าทูตนรกล้านปีล่ะครับ
Tremors 5: Bloodlines เป็นภาคต่อลำดับที่ 5 ของหนังชุดนี้แล้วนะครับ ซึ่งจะว่าไปมันก็มาให้เราชมกันเรื่อยๆ เพราะนอกจากหนัง 4 ภาคก่อนหน้าแล้ว ยังมีฉบับซีรี่ส์มาให้เราดูอีกต่างหาก แม้จะอายุสั้น ทำออกมาแค่ 1 ปีก็เถอะ แต่อย่างน้อยช่อง 3 ก็เคยเอามาฉายล่ะครับ (แม้จะฉายดึกมากก็เถอะ)
สำหรับภาคนี้ เบิร์ตกลับมารบกับพวกตัวร้ายอีกหน ซึ่งตอนต้นเรื่องหนังก็มีบทบรรยายเผื่อใครไม่เคยดูหรือดูแล้วลืมว่าเจ้าตัวร้ายตัวนี้มันมีวัฏจักรชีวิตยังไงบ้าง ประมาณว่าตอนแรกก็เป็นตัวแกรบบอยด์ เป็นหนอนยักษ์จอมเขมือบ ก่อนจะลอกคราบเป็นตัวเดินได้ แล้วพอโตเต็มวัยก็เป็นตัวบินได้อีก แล้วก็ลงท้ายด้วยการให้กำเนิดเจ้าตัวหนอนยักษ์ดำดิน วนเป็นวงจรมรณะแบบนี้ไปเรื่อยๆ
ถามว่าสนุกไหม ผมว่าโอเคนะครับ โดยส่วนตัวผมว่าเวิร์กไม่น้อย มีอะไรให้ตื่นเต้นและลุ้นพอสมควร การเดินเรื่องก็มีช่วงช้าอยู่บ้าง แต่โดยรวมๆ ถือว่าฉับไวและดูได้เพลินๆ สำหรับแฟนๆ ที่ชอบดูหนังชุดนี้ หรือสำหรับใครก็ตามที่ชอบดูหนังแนวสัตว์เขมือบแบบนี้น่ะนะครับ
ภาคนี้ได้ Jamie Kennedy แห่งหนังชุด Scream มาร่วมแจมในบทผู้ช่วยของเบิร์ต ส่วนหน้าที่กำกับตกเป็นของ Don Michael Paul ที่เคยทำหนังอย่าง Half Past Dead, Lake Placid: The Final Chapter, Jarhead 2: Field of Fire และ Kindergarten Cop 2 ด้วย ส่วนมากก็เป็นหนังภาคต่อลงแผ่นนั่นแหละ ซึ่งจริงๆ หนังของพี่แกก็ดูได้เรื่อยๆ นะครับ อาจไม่เด่นไม่เด็ด แต่ก็พอกล้อมแกล้มน่ะ – และก่อนหน้าที่ Paul จะมากำกับเรื่องนี้นั้น เขาไม่เคยดูหนัง Tremors มาก่อนแม้แต่ภาคเดียวครับ ครั้นพอ Gross รู้พี่แกเลยลากตัว Paul มา บอกให้ Paul นั่งลง และเปิดหนังชุดนี้ให้ Paul ดู (อารมณ์ของ Gross คงประมาณว่า “นี่คุณไปอยู่ที่ไหนมาเนี่ย” 5555)
ถือว่าดูแก้คิดถึงสำหรับคนที่ตามดูเจ้าพวกทูตนรกนี่มาตั้งหลายภาคน่ะนะครับ ก็คิดไม่ถึงเหมือนกันนะว่าจะมีการทำตอนต่อออกมาเยอะแบบนี้ แล้วนี่ยังไม่จบครับ ยังมีภาคต่อจากนี้รออยู่อีก
และบางท่านอาจสัมผัสได้ว่าอะไรบางอย่างในหนังภาคนี้มันดูแปลกไปจาก 4 ภาคก่อน ส่วนหนึ่งนั้นก็เป็นเพราะ S.S. Wilson และ Brent Maddock คู่หูผู้สร้างสรรค์เขียนบทหนังเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น และนั่งเก้าอี้อำนวยการสร้าง รวมถึงผลัดกันกำกับภาค 2 – 4 ตัดสินใจก้าวออกจากโปรเจคท์ครับ ประมาณว่าทิศทางความคิดของพวกเขากับของทีมผู้สร้างใหม่ไม่ใคร่จะไปในทางเดียวกัน พวกเขาเลยขอเป็นฝ่ายจากไปแทน เราเลยอาจสัมผัสได้ว่าโทนหนังบางอย่างดูจะต่างจาก 4 ภาคแรกอยู่
เอาเป็นว่าดูเพลินๆ แบบไม่คิดมากครับ หนังมันไม่ได้สนุกเท่าภาคแรกหรอก แต่ถ้าเทียบกับภาค 2 – 4 แล้ว ภาคนี้ถือว่าสนุกไล่ๆ กันครับ
ใกล้ๆ สองดาวครับ

(5.5/10)
หมวดหมู่:Action, Adventure, Comedy, Horror, Monster Horror, Monster Movies, Movie Reviews, Sci-Fi










