Action

Looper (2012) ทะลุเวลา อึดล่าอึด

1360430987

ปี 2012 ที่ผ่านมา ผมได้เรียนรู้ว่ามีหนังอยู่ 2 ประเภทที่ดูถูกไม่ได้เป็นอันขาด เพราะมันอาจสนุกกว่าที่คิดได้

ประเภทแรกคือ หนังรีเมคที่มี Colin Farrell แสดงนำ (อย่าง Fright Night และ Total Recall)

ประเภทที่ 2 คือ หนังของพี่ Bruce Willis ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการย้อนเวลา อย่าง Twelve Monkeys, Disney’s The Kid และล่าสุดก็คือ Looper นี่แหละ

เหตุเกิดในอนาคตที่ซึ่งมีอาชีพที่เรียกกันว่า “ลูปเปอร์” มือปืนรับจ้างฆ่าคนแลกเงิน และคนที่พวกเขาต้องฆ่านั้นก็จะถูกส่งมาจากอนาคตปี 2074 ประมาณว่าคนยุคนั้นหากอยากจะทำให้ใครก็ตามหายไปแบบไร้ร่องรอย ก็แค่จับเข้าเครื่องไทม์ แมชชีนย้อนมาให้เหล่ามือปืนพวกนี้ฆ่า กลายเป็นฆาตกรรมไร้เงาไป จับมือใครดมก็ไม่ได้

และโจ (Joseph Gordon-Levitt) ก็คือลูปเปอร์มือดีที่กำลังไปได้สวย แต่จะเป็นอย่างไรหากคนต่อไปที่ถูกส่งมาให้เขาฆ่า คือตัวเขาเองจากโลกอนาคต (Bruce Willis) …แล้วความสนุกของหนังก็เริ่มที่ตรงนี้นี่แหละครับ

1360432944

Looper ถือเป็นหนังที่รวมเอาความเป็นไซไฟ แอ็กชัน และดราม่ามาไว้ด้วยกัน อันนี้ขอชมผู้กำกับ Rian Johnson ว่าเขาแน่และมือแม่นพอตัว เพราะเขาเขียนบทหนังเรื่องนี้เองด้วยตัวเอง และบทที่ว่าก็ผสมเอาไซไฟ แอ็กชัน ดราม่า มารวมได้แบบเข้ากันอย่างลงตัว

ให้ว่าตามจริงนะครับ แอ็กชันบู๊ในเรื่องนั้นมีไม่เยอะ แต่จะมาหนักเอาตรงประเด็นไซไฟและดราม่ามากกว่า ดังนั้นคอแอ็กชันอย่าคาดหวังตรงนี้มากเกินไปนะครับ เพราะมันไม่ได้เร้าใจ ลุ้นระทึก หรือแปลกใหม่อะไรมากมาย แต่ถ้าใครชอบไซไฟและดราม่าก็น่าจะชอบหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก

สำหรับผม ของดีของเด็ดในหนังนอกจากความสนุกเพลิดเพลินแล้ว ต้องยกให้ “มิติของแต่ละตัวละคร” ที่ชัดเจนครับ ดูไปเราจะรู้แรงผลักดันของแต่ละคน นั่นทำให้หนังมีพลังและน่าสนใจ

ขณะเดียวกันหนังยังสะท้อนหลายๆ ประเด็นที่น่าเก็บมาคิดเพื่อพิจารณาชีวิตของเราด้วย

อย่างการที่โจและเหล่าลูปเปอร์วัยหนุ่มยอมทำทุกอย่างเพื่อเงิน บางรายยอมฆ่าตนเองในอนาคตเพื่อเสพสุขในปัจจุบันให้นานที่สุด ซึ่งถ้าเราถอดรหัสมองแบบเปรียบเปรย จะพบว่าชีวิตคนทำงานทั่วไปแบบโหมหนักจนไม่คิดชีวิตนั้นก็เหมือนลูปเปอร์ดีๆ นี่เองครับ ทำงานมากได้เงินมากก็จริง แต่เราก็มักจะแลกมาด้วยสุขภาพ, คนรอบตัว หรือแม้แต่จริยธรรม

ดังนั้นเมื่อถึงวันสิ้นใจ (ที่อาจไวกว่ากำหนด) เราก็ต้องตายอันเนื่องมาจากตัวเราในอดีตนั่นเอง

การลั่นไกสังหารตัวเองจากอนาคต (แบบลูปเปอร์) = การทำงานโหมหนักจนเราตายผ่อนส่ง

นอกจากนี้เราจะพบว่า 3 ตัวละครหลัก อันได้แก่ โจตอนหนุ่ม, โจตอนแก่ และ ซาร่า (Emily Blunt) ล้วนได้เจอกับ “จุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต” ด้วยกันทั้งสิ้น

ถัดจากนี้จะมีสปอยล์นะครับ หากไม่อยากทราบกรุณาหยุดอ่านครับ

1360519198

โจตอนแก่ นั้นเพิ่งมาสำนึกถึงความเลวร้ายของสิ่งที่ตนเองทำก็เมื่อทุกอย่างสายไปแล้ว นั่นคือตอนที่เขาต้องสูญเสียหญิงสาวคนรักที่เปลี่ยนเขาให้ตระหนักว่าโลกนี้มีความสวยงาม ซึ่งผู้ที่บงการสังหารพวกเขา (อีกทั้งเหล่าลูปเปอร์) ก็คือคนลึกลับที่ชื่อ เรนเมคเกอร์

แน่นอนว่าสำหรับเขาแล้ว เรนเมคเกอร์คือตัวการ แต่หากย้อนมองดีๆ จะพบว่าต้นเหตุที่ใหญ่กว่านั้น ก็คือเขานั่นแหละครับ มันเพราะเขาเลือกที่จะมาเป็นลูปเปอร์ เลือกเส้นทางแห่งการฆ่าคนเพื่อเงิน และผลแห่งการกระทำมันก็ย้อนมาสู่เขาเอง

สำหรับประเด็นนี้จึงอาจไม่มีคำว่า “ตัวร้ายตัวต้นเหตุ” แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะทั้งโจและเรนเมคเกอร์ล้วนมีส่วนต่อผลลัพธ์แห่งความตายของคนรักของโจด้วยกันทั้งสิ้น

การสูญเสียคนรักของโจ ภายใต้การบงการของเรนเมคเกอร์ อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่นำมาสู่่เหตุการณ์ใน Looper แต่จุดเปลี่ยนที่นำชีวิตของโจมาสู่บทสรุปอันนี้ เขานั้นเองคือผู้เลือก

ชวนให้ย้อนมองชีวิตคนอีกมากมาย ในยามเจอปัญหาเขามักมองหาสาเหตุจากสิ่งรอบตัว แต่ส่วนใหญ่แล้วเหตุผลต้นเรื่องมักจะมีจุดเริ่มมาจากตัวเราเองไม่มากก็น้อย

บางครั้งการตัดสินใจที่ถูก ก็คือวัคซีนป้องกันโศกนาฏกรรมในชีวิตที่ดีมากชนิดหนึ่ง… แต่ก็อาจนำคำถามมาสู่ในหลายๆ คนว่า “แล้วอะไรคือการตัดสินใจที่ถูกสำหรับแต่ละสถานการณ์ล่ะ

คำตอบที่พอจะนึกได้ก็คือ การตัดสินใจใดก็ตามที่ส่งผลเสียต่อตนเองและผู้อื่นน้อยที่สุด… แต่อย่าด่วนเชื่อคำตอบนี้ในทันที

หรือตัว โจในวัยหนุ่ม ก็ถือว่าเขายืนอยู่ตรงกลางของเรื่องราวทั้งหมด และเจอจุดเปลี่ยนมากมายจนแทบจะเรียกว่ามากที่สุดในบรรดาตัวละครทั้งหมด

เขาเจอจุดจบอันน่าสลดของเพื่อนตนเองที่พยายามหลุดออกจากวงจรลูปเปอร์, เจอตัวเองจากอนาคตมาบอกว่าอะไรคือจุดเปลี่ยนของเขา, รู้เรื่องเกี่ยวกับเรนเมคเกอร์, ได้พบเจอกับ ซาร่า หญิงชาวไร่ที่อยู่กับลูกชาย ซึ่งเธอไม่รู้เลยว่าเด็กคนนี้จะมีชะตากรรมเป็นเช่นไรต่อไป และจุดเปลี่ยนสุดท้ายก็คือจุดเปลี่ยนของซาร่ากับลูกที่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญมากๆ

เมื่อลองย้อนมองถึงสิ่งมากมายที่โจตอนหนุ่มเจอ เราก็เชื่อได้ไม่ยากว่า ทำไมโจถึงเลือกทำ “เช่นนั้น” ในท้ายที่สุด

ยอมรับว่า “สิ่งที่โจตอนหนุ่มทำในท้ายสุด” นั้น ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าโจคิดได้เร็วกว่านี้ ชีวิตเขาจะเป็นเช่นไร? ไม่ได้หมายความเพียงคิดไตร่ตรองในนาทีที่โจแก่เดินทางมา แต่หมายถึงถ้าคิดได้ก่อนจะมาเป็นลูปเปอร์น่ะ มันจะเป็นเช่นไร ชีวิตเขาจะดีกว่านี้หรือไม่

แต่หากคิดในเชิงไซไฟแล้ว หากโจไม่ได้ก้าวมาเป็นลูปเปอร์ การกวาดล้างเหล่าลูปเปอร์โดยโจแก่ก็คงไม่เกิดขึ้น และความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกี่ยวกับซาร่าและลูกชายของเธอก็อาจไม่มีก็ได้

ดังนั้นการเลือกเป็นลูปเปอร์อาจไม่ได้ส่งผลดีต่อชีวิตของโจ (เพราะมันนำมาซึ่งอันตรายถึงชีวิตของเขา) แต่มันก็ส่งผลดีในแง่อื่นๆ ส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงอนาคตได้ (เพราะต่อให้เขาไม่เป็นลูปเปอร์ แต่องค์กรลูปเปอร์ก็ยังมีอยู่ดี)

โจตอนแก่เปลี่ยนได้ โจตอนหนุ่มก็เปลี่ยนได้… ผมเชื่อว่า “การเปลี่ยนได้” นี้มีสาระสำคัญโดยเฉพาะต่อชะตากรรมของลูกซาร่า

1360519239

เมื่อดูไปถึงจุดหนึ่ง เราจะตระหนักว่าลูกของซาร่านั้นน่าจะเป็นเรนเมคเกอร์ และเขาจะกลายเป็นสุดยอดวายร้ายแห่งอนาคต ยิ่งเราได้รู้ถึง “พลัง” ที่เด็กคนนี้มีก็ยิ่งรู้สึกกลัวขึ้นไปอีก เพราะมันมหาศาลจริงๆ

ยอมรับว่าระหว่างดูผมสับสนเหมือนโจตอนหนุ่ม ในมุมหนึ่งก็รู้ดีว่าเด็กคนนี้คือเรนเมคเกอร์ หากปล่อยไว้ก็เป็นอันตรายต่อโลกในอนาคต ดังนั้นการกำจัดจึงเป็นหนทางที่น่าจะดีที่สุด เพื่อสกัดความเลวร้ายในอนาคต

แต่ในมุมหนึ่ง… การจะฆ่าเด็กสักคนนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่ใจเราจะยินยอมลงมือกระทำได้ง่ายๆ

ทว่าตอนท้ายหนังได้หาทางออกอย่างยอดเยี่ยม ทำให้ผมเปลี่ยนใจได้เลย จากเดิมลังเลว่าจะฆ่าเด็กหรือไม่ กลายเป็นมีความหวังว่าเด็กน้อยคนนี้ อาจเปลี่ยนเป็นคนดี และใช้พลังที่มีในทางที่ดีก็ได้

จุดเปลี่ยนก็คือ ซาร่า แม่ตัวคนเดียวที่พยายามเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด แต่เธอก็เหมือนคนธรรมดาที่มีความผิดพลาด ยิ่งตอนเจอลูกแสดงฤทธิ์ แม่ถึงกับวิ่งไปหลบเพื่อหนีอันตรายที่อาจเกิดได้เพราะลูกของตน

บางขณะผมก็คิดเหมือนโจตอนแก่… ไม่กำจัดเด็กคนนี้คงไม่ได้

แต่แล้วเมื่อเหตุถึงการณ์วิกฤติสุดขีด ซาร่าได้สร้างจุดเปลี่ยน เมื่อเธอใช้ตัวเองเป็นต้นแบบให้ลูกซึมซับความสงบ เป็นต้นแบบบอกให้ลูกรู้ว่าไม่จำเป็นต้องใช้กำลัง ไม่จำเป็นต้องระเบิดความโกรธ

แม้เราอาจไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วในโลกอนาคตจะยังมีเรนเมคเกอร์อยู่หรือไม่ แต่เราก็มีหวังมากขึ้นกว่าเก่า เริ่มเห็นความเป็นไปได้ที่จะ “ไม่มี” เรนเมคเกอร์

ซึ่งจุดเปลี่ยนนี้จะไม่เกิด หากโจตอนแก่ไม่ย้อนเวลามาทำสิ่งนี้

เป็นอีกจุดที่ผมชอบมากในหนังเรื่องนี้ครับ ทุกคนทุกเหตุการณ์มันเชื่อมโยงกัน ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด สิ่งอื่นๆ ก็อาจไม่เกิดขึ้น และเพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงเกิด

บางครั้งปัจจุบัน ก็ใช้ทำนายอนาคตที่มีความหวังได้เหมือนกัน

ขอสรุปล่ะนะครับว่าผมชอบหนังเรื่องนี้ ชอบดาราทุกคน แม้การเดินเรื่องอาจอืดไปบ้างและอาจไม่ถึงกับมีอะไรใหม่มากมาย แต่ผลสรุปรวมถือว่าน่าจดจำ และถือเป็นการผสมไซไฟ ดราม่า แอ็กชัน เข้าด้วยกันอย่างพอเหมาะ

สองดาวสามส่วนสี่ดวงครับ

Star22

(7.5/10)

Untitled05829