นึกไม่ถึงจริงๆ นะครับว่าหนังไทยเรื่องเนี้ยมันจะออกมาเป็นไตรภาคได้
ส่วนกระผมนั้นก็เข้าทำนอง “กล้าทำก็กล้าดู” ครับ ใจจริงก็อยากรู้เหมือนกันแหละว่าทำหน้าปกออกมาซะแสดงเจตนาขนาดนั้น หนังมันจะออกมาแรงหรือไม่อย่างไร
ตอนแรกผมก็นึกว่าจะเข้าโรงนะครับ เห็นมีทีเซอร์โฆษณาว่าจะเข้าโรงวันที่ 7 พฤษภาคมนี้ แต่จู่ๆ ก็เปลี่ยนใจลงแผ่นแทน เพิ่งออกได้ไม่กี่วันนี่เองครับ ผมเลยรับอาสาดูมาบอกเล่าเก้าสิบตามระเบียบ
พอดูจบแล้วก็พอจะสรุปได้นะครับว่า แรงกว่าสองภาคที่ผ่านมา แหม ดูแค่เหล่าดาราในเรื่องก็ยังกะจะมาประกวดพวก FHM หรือถ่ายแบบ Maxim แล้วล่ะครับ มันก็ต้องหวือหวากว่าสองภาคก่อนที่เขามาแบบเด็กๆ ออกแนวน่ารักๆ มากกว่าจะโชว์เซ็กซี่ชัดเจนขนาดนี้ จนพอจะเรียกได้ว่าเข้าเรต ฉ ก็พอได้ล่ะครับ
แต่กระนั้นต้องทำความเข้าใจก่อน ที่บอกว่าหวือหวาเนี่ยมันก็แรง แต่เป็นความแรงแบบมีเพดานอยู่ดีแหละครับ เช่น ฉากวับแวม ต่อให้วับอย่างไรก็ไม่มีทางมากเกินไป ไม่เห็นอะไรที่ถึงขั้นต้องเซ็นเซอร์ อย่างมากก็เพียงสาวๆ นุ่งน้อยห่มน้อยเล่นน้ำริมสระ
หรือฉากอะโบ๊ะจะม๊ะ มันก็ไม่ได้แรงขนาดนั้นหรอกครับ มันก็เพียงประมาณหนังวัยรุ่นฝรั่งที่มีกอดจูบกันพอประมาณเท่านั้นเอง หรือบางฉากที่ดูเหมือนจะแรงก็มี แต่ก็ออกเป็นในแนวตลกซะนี่
ที่สาธยายทั้งหมดก็เพื่อบอกกล่าวเสียแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่เกิดความคาดหวังที่มากเกินไป เพราะหน้าปกแผ่นหนังมันประกาศก้องครับว่า “คำเตือน ต่ำว่า 18 ปี ห้ามดู” ซึ่งเจ้าคำเตือนนี้ก็มองได้สองมุมครับ
มุมแรกน่ะอาจจะมองได้ว่า เหมือนจะเป็นการเตือนไม่ให้เด็กและเยาวชนที่อายุน้อยและยังไม่บรรลุนิติภาวะทางความคิดดู… อันนี้ก็ดูมีความรับผิดชอบดีนะครับ ทำการจัดเรตตัวเองไปเลย
แต่อีกมุมน่ะ ผมมองว่ามันก็ออกแนวเป็น “กลยุทธ์ทางการขาย” ได้เช่นกัน เพราะหากประกาศว่าต่ำกว่า 18 ห้ามดู รับรองเลยครับว่ามันต้องมีต่ำว่า 18 นี่แหละเป็นกำลังสำคัญในการซื้อหาและเช่า เป็นการยุที่มีพลังแรงสูงมากเลยล่ะครับ เพราะกลุ่มเป้าหมายจะมองว่า “ต่ำว่า 18 ห้ามดู” แปลว่าหนังเรื่องนี้ต้องแรงหาน้อยไม่แน่ๆ… ถ้าให้ผมประมาณการณ์นะครับ มันไม่ได้แรงในระดับที่กลุ่มเป้าหมายต้องการหรอก บอกได้เลย
เรื่องในภาคนี้ก็มีพระเอกนะครับ ชื่อ แฟ้ม (แชมป์ วศิษฎ์ ผ่องโสภา จาก วัยอลวน แล้วก็ เขาชนไก่) เป็นเด็กบ้านนอกที่ไม่สนเรื่องรัก มุแต่เรื่องเรียน แต่แล้วชะตากรรมก็ชักนำครับ เมื่อรุ่นพี่คนหนึ่ง (เอเอ พีรวัชร์ เหราบัตย์) เกิดไปต้องตาต้องใจสาวปีหนึ่งสุดน่ารักที่ชื่อ ริบบิ้น (เบนซ์ กัญญ์วรา ตั้งมั่นคงวรา) เข้า พี่แกเลยดูหมอครับ หมอที่ว่าก็คือหมอดูไพ่ยิปซีเพื่อนของแกเองที่ชื่อ อี๊ด (เจมส์ นครินทร์ กุลกัลยาดี) ซึ่งหมอดูอี๊ดก็ทำนายว่า รุ่นพี่คนนี้ไม่สมหวังง่ายๆ หรอก เพราะริบบิ้นน่ะจะต้องได้รู้จักมักจี่และมีสัมพันธ์ทางใจกับ แฟ้ม อย่างแน่นอน
เจ้ารุ่นพี่ตัวแสบก็เลยหาทางแยกแฟ้มออกจากริบบิ้นให้ได้ ขณะเดียวกันแฟ้มเองก็เกิดไปต้องตาต้องใจ นางแบบสาวสวยที่รวยไฮโซอย่าง ตรีรัก (แพม ภัทรานิษฐ์ เตชะธนชัยพัฒน์) อีก แล้วคุณตรีรักเธอก็มาเสนอให้แฟ้มยอมมาเป็นกิ๊กกับเธอ เพื่อแลกกับการที่เธอจะช่วยดันให้แฟ้มมีอนาคตสดใสในวงการบันเทิง ได้เป็นคนป็อบปูลาร์ไปเลย
แล้วงานนี้แฟ้มกับริบบิ้นจะได้สมรักกันหรือไม่ ก็ลองไปเดากันดูนะครับ… คิดอีกทีอย่าเดาเลยครับ รู้ก็รู้กันอยู่อ้ะนะว่ามันจะจบอย่างไร ก็บอกได้ว่ามันก็อย่างนั้นแหละครับ
หนังมันสูตรขนานแท้อยู่แล้ว ไม่ต้องลุ้นเรื่องเนื้อหาเลยครับ มันรู้หมดแหละว่าทิศทางไปทางไหน ซึ่งลึกๆ แล้วผมก็เชื่อว่ากลุ่มเป้าหมายที่จะดูหนังเรื่องนี้จริงๆ น่ะไม่ได้หมายมั่นสนใจสาระหรือความตื่นเต้นของการเล่าเรื่องหรอก แต่สนเรื่องลามกๆ กับความตลก และเรื่องหื่นๆ ซะล่ะมากกว่า
หนังเรื่องนี้ก็เข้าอีหรอบ American Pie น่ะนะครับ มีเรื่องหื่นๆ มีเรื่องฮาๆ เป็นแกนกลาง แต่อย่าเอาไปเทียบกันดีกว่าครับ เพราะ Pie น่ะมีอะไรมากกว่าเรื่องหื่นๆ เยอะมาก (หมายถึง 3 ภาคแรกนะครับ) มีสาระ ความฮาและความลงตัวเยอะกว่ากันมาก
ทว่านะครับ ทว่าตัวเดอะกิ๊กที่ผ่านมาทั้งสามภาค ใช่ว่าจะไม่มีประเด็นครับ คือมันมีน่ะ แต่คนทำไม่ใคร่จะเน้น ส่วนมากจะเน้นเรื่องหื่นห่ามตามอารมณ์ซะล่ะมากกว่า จนหนังเบาไปโดยปริยาย
ประเด็นของหนังในภาคนี้ก็ได้แก่การอย่าไปหลงเชื่อข่าวร่ำข่าวลืออะไรมาก อย่างการที่รุ่นพี่ตัวแสบทำการปล่อยข่าวว่าริบบิ้นเป็นผู้หญิงไม่ดีนั่น ทำให้เราตระหนักได้เลยนะครับว่าการจะไปเชื่อข่าวลือว่า น้องคนนั้นเป็นผู้หญิงไม่ดี พี่คนนี้เป็นพวกหื่น ก็ต้องใช้วิจารณญาณด้วยครับ
ประเด็นต่อมาก็คือเรื่องการรู้สติตนเสมอ อย่าไปหลงระเริงกับอะไรให้มาก เช่น ความรัก จะมีก็มีได้แต่อย่าไปตั้งเป้าว่ามันคือสิ่งเดียวที่มีความหมายในชีวิตครับ เพราะเรื่องเรียนก็มีความหมาย เรื่องศิลปะการใช้ชีวิตก็มีความหมาย เพียงแต่ว่าเราอาจจะไม่สนใจเท่านั้นเอง แต่สิ่งที่เราหลงลืมหรือไม่สนใจ ใช่ว่าจะไร้ความหมายและไร้ความสำคัญจริงไหมครับ ตรงนี้เราก็ต้องมานั่งชั่งตวงวัด ดูด้วยว่าอะไรสำคัญกว่า อย่าหลงไปทำเฉพาะแต่สิ่งที่เราชอบเพียงอย่างเดียว อย่างเรื่องรัก ถ้าจะรักก็รักไป แต่เรียนก็อย่าให้เสียหายอะไรทำนองนี้น่ะนะครับ
เรื่องต่อมาก็ประเด็นการหลงแสงสี ซึ่งก็ชัดดีครับ นายแฟ้มนั้นออกอาการหลงแสงสีมากไปหน่อย จนต้องมานั่งถามตัวเองว่าเราจะป็อบปูลาร์ไปทำไม หากเราต้องแลกด้วยสิ่งสำคัญ (เช่นการเรียน) หรือคนสำคัญ (เช่นคนรักที่ดีอย่างแท้จริง)
… หลายคนอาจเริ่มนึกแล้วว่าหนังมันก็มีสาระเยอะดีนี่หน่า ซึ่งมันก็จริงครับ มันก็มีสาระ แต่มันค่อนข้างแสดงแบบฉาบๆ ฉวยๆ มากกว่า นี่ผมเอามาขยายตามความคิดผมเท่านั้นเองน่ะครับ
อีกประเด็นหนึ่งที่ผมว่าน่าคิดไม่น้อยคือตัวละครหนึ่งในเรื่องครับ เป็นเด็กตัวเล็กๆ วัยประถมเท่านั้นน่ะ แต่หื่นไม่ใช่เล่น แสบพอดู พูดหยาบ ออกแนวซ่าๆ จนผมอดเป็นห่วงไม่ได้ครับว่าเด็กยุคนี้เป็นขนาดนี้แล้วจริงๆ เหรอเนี่ย เพราะมันไม่ใช่แก่แดดแล้วนะครับ มันแก่พระอาทิตย์เลยล่ะ อะไรจะใฝ่เรื่องเพศได้ขนาดนั้น แม้ผมจะค่อนข้างเชียร์ให้พ่อแม่สอนเด็กในเรื่องเพศเพื่อจะได้รู้และเข้าใจ แต่ในเรื่องนี่มันออกแนวหมกมุ่นเลยล่ะครับ เฮ่อ น่าคิดๆ
ประเด็นหลังนี่แหละที่ผมรู้สึกจริงๆ ว่า “เรตที่เตือนไว้ตรงหน้าปกนั้น” ค่อนข้างจริง มันมีอะไรให้ล่อแหลมจริงๆ ครับ
เอาล่ะ คร่าวๆ ก็ประมาณนี้นะครับ ถ้าไม่คิดมากมันก็เพลินๆ ในฐานะหนังเรื่องหนึ่ง มีสาวๆ มีวับๆ แวมๆ บ้าง แต่ก็ไม่ได้แรงมากมายอะไร หนังวัยรุ่นมะกันหรือหนังวัยรุ่นเกาหลีเนี่ยแรงกว่านี้เยอะครับ
สาระก็มีบ้างแต่ก็ต้องหยิบๆ มาจ้องกันนิดหน่อย เอาเป็นว่า ไม่ได้มีอะไรต้องดูเป็นพิเศษครับ ฮาก็มีบ้าง ที่เยอะหน่อยก็เจ้าเพื่อนจอมหื่นของนายแฟ้มน่ะแหละ บ้าดี อย่างไอ้ตอนไปซื้อถุงยางเป็นต้นน่ะครับ ต๊องดี
ไม่ถึงสองดาวแล้วกันนะครับ
(5/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, หนังไทย (Thai Movies), Comedy