Ip Man 2 เป็นภาคต่อที่ดูสนุก ไม่เสียชื่อภาคแรกครับ
หลังจากภาคแรก ยิปมัน (เจิ้นจื่อตัน) กับครอบครัวก็หนีภัยสงครามมาตั้งรกรากที่ฮ่องกง แล้วก็ตั้งใจจะเปิดสำนักมวยเพื่อเลี้ยงปากท้อง ซึ่งเขาก็ได้ลูกศิษย์มากมายครับ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องพบกับเจ้าถิ่นเก่าอย่างอาจารย์หง (หงจินเป่า) ไหนจะพวกฝรั่งที่ดูถูกมวยจีนอีก งานนี้อาจารย์ยิปเลยต้องสำแดงวิชาหย่งชุนเพื่อกู้ศักดิ์ศรีอีกครั้ง
หนังลื่นดีครับ เนื้อเรื่องอาจจะลงสูตรแต่ก็เล่าได้สนุกชวนติดตาม แน่นอนว่าจุดเด่นต้องยกให้การแสดงของ เจิ้นจื่อตันที่นิ่ง สุขุม สุภาพ ถ่อมตนเหมาะกับบทอาจารย์ยิปเหลือเกิน และครั้นพอถึงคราวออกหมัดก็ซัดรัวจนสะใจกันไปข้างหนึ่ง
ฉากบู๊ใหญ่ๆ อย่างตอนตีกันจนตลาดแตก, ฉากประลองกับอาจารย์ต่างๆ และฉากไคลแม็กซ์ปะทะฝรั่ง ถือว่าทำออกมาได้เร้าใจดีครับ เรียกว่าแง่แอ็กชันนี่ไม่ผิดหวังเลย
รวมๆ แล้วผมชอบภาคแรกมากกว่า เพราะมันสด มันคลาสสิค และเข้มข้น แต่ถ้าถามถึงความลื่นและความกลมกล่อมล่ะก็ ภาคนี้จะดูเป็นเนื้อเดียวมากกว่า (อารมณ์ในภาคแรก ครึ่งแรกกับครึ่งหลังต่างกันมาก แม้ผลที่ได้จะออกมาดีสุดๆ แต่ก็ยอมรับครับว่าตอนช่วงรอยต่อนั่นมันก็มีอารมณ์สะดุดเล็กๆ) เพียงแต่ดีกรีความเข้มมันอาจไม่ข้นมากมายเท่าภาคแรกเท่านั้นเอง
+ หนังสะท้อนสังคมยุคนั้นได้ไม่เลวครับ ยุคแห่งการแก่งแย่งแข่งขันระหว่างคนจีนด้วยกัน ไม่ว่าจะในเชิงใช้กำลัง, เชิงธุรกิจผลประโยชน์ หรือในเชิงหน้าตา เกียรติยศ และศักดิ์ศรี
+ และยังเป็นยุคที่ชาวต่างชาติก็มองจีนล้าหลัง ส่วนชาวจีนก็มองชาวต่างชาติด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ ต่างฝ่ายต่างก็มีอาวุธพร้อมจะซัดใส่อีกฝ่าย หากมีอะไรผิดหูผิดตาขึ้นมาล่ะก็ ซึ่งหนังก็ดูจะเน้นประเด็นตรงนี้ค่อนข้างเยอะครับ เรียกว่าเร้าให้รักใน “ความเป็นจีน” ไม่แพ้ภาคแรกทีเดียว
+ ขณะเดียวกันหนังก็ยังสะท้อนแง่มุมแห่งความหวัง ไม่ว่าจะการหันหน้าเข้าหากัน, การเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันมากกว่าแบ่งเขาแบ่งเรา, การช่วยเหลือเกื้อกูลต่อกัน, การรู้จักแยกแยะตามบริบท
เช่น ถ้าเราอยู่บนเวทีหมดมวย เราก็ต้องประลองกัน อัดซัดใหเต็มที่ แต่พอจบการแข่งขันแล้ว ก็ถือว่าบริบทเปลี่ยนไปแล้ว เราก็ยังใช้ชีวิตร่วมกับคู่แข่งอย่างปกติได้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นศัตรูจนไม่มองหน้ากัน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ดูภาคนี้แล้วเหมือนดู Rocky ภาค 2 – 3 – 4 ต่อกันน่ะครับ อารมณ์โครงเรื่องคล้ายๆ กัน แต่ก็เป็นการคล้ายในทางที่ดีนะครับ แม้จะคล้าย แต่ Ip Man ก็ยังคงเป็น Ip Man ที่มีสไตล์ในแบบตัวเอง ฉากบู๊ดี ดนตรีได้ เดินเรื่องลื่น
ดาราก็เจ๋ง ไม่ว่าจะเฮียเจิ้น, เฮียหง แล้วยังมีเจื้นจั๊ดซื่อ ในบทสารวัตรที่ยอมตามพวกฝรั่ง แต่สุดท้ายเขาก็มีจุดยืน มี “เส้นขอบเขต” ที่ตั้งใจว่าจะไม่ข้ามไปง่าย (บทนี้ชวนให้นึกถึงบทสารวัตรหลี่เจาจากภาคแรกอยู่เหมือนกัน) ในขณะที่เยิ้นต๊ะหัวและฝานเส้าหวงก็มารับบทเดิมครับ แต่ออกแนวดารารับเชิญมากกว่า
นี่แหละครับ หนังแอ็กชันที่ผสานเรื่องราว ความสนุก และความมันส์เข้าด้วยกันอย่างน่าพอใจยิ่ง
สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ
(7.5/10)