Biography

Pawn Sacrifice (2014) เดิมพันชาติรุกฆาตโลก

11236434_1132782446752555_8094394340839108985_o

รู้สึกว่าระยะหลังๆ นี้ Tobey Maguire มักจะเล่นบทแนวคนเก็บกดอะไรสักอย่าง แล้วก็มีฉากให้แหกปากระเบิดอารมณ์อยู่บ่อยๆ ครับ (เพราะลอง Search ภาพหนังใหม่ๆ ของเขาทีไรต้องมีคนแคปภาพตอนพี่แกแหกปากมาลงทุกที ^_^)

สำหรับเรื่องนี้ก็สร้างโดยอิงจากเค้าโครงเรื่องจริงของมือหมากรุกระดับตำนานนาม บ็อบบี้ ฟิชเชอร์ (Maguire) ที่มีความสามารถในเชิงหมากอย่างมาก แต่ขณะเดียวกันเขาก็เป็นคนที่มีโลกของตัวเองสูง ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากสภาพครอบครัวที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจของเขา อันนำมาสู่อาการหวาดระแวงในเวลาต่อมา

หนังจับประเด็นเล่าตั้งแต่ตอนบ็อบบี้เริ่มต้นเล่นหมากรุกในวัยเด็ก แล้วก็เล่ามาจนถึงแมทช์สำคัญระหว่างเขากับ บอริส สปัสสกี้ (Liev Schreiber) นักหมากรุกแชมป์โลกชาวโซเวียต ซึ่งถือเป็นนัดสำคัญที่สร้างชื่อให้กับเขา และหมากกระดานที่ 6 ที่เขาเดินกับบอริสนั้นก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในหมากกระดานที่ดีที่สุดจนเป็นตำนานทีเดียว

ว่าตามจริงหนังทำออกมาดีครับ ดาราเล่นกันได้ยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะ Maguire ที่ทำให้บ็อบบี้เป็นมือหมากรุกชั้นเซียน แต่ก็เป็นคนที่มีจิตใจกับแรงกดดันอัดแน่นอยู่ภายในเสมอ, Schreiber ก็สบายๆ ครับกับบทบอริสที่อาจจะไม่ได้แสดงอะไรมาก แต่หน้าตาท่าทางตอนเขาเดินหมากถือว่าเสริมความน่าติดตามให้กับหนังได้ดีเหมือนกัน

Michael Stuhlbarg ดารามือดีที่ผมชอบจากหนังอย่าง A Serious Man, Men in Black 3, Lincoln, Hitchcock ในเรื่องนี้เขารับบทพอล มาร์เชลล์ ผู้จัดการของบ็อบบี้ที่พยายามผลักดันเขา แล้วก็ต้องคอยรับมือกับความแปรปรวนของบ็อบบี้อยู่ตลอด ขานี้ก็แสดงได้พอเหมาะพอดีไม่ขาดไม่เกินครับ

อีกคนที่ลืมไม่ได้ก็คือ Peter Sarsgaard ในบทคุณพ่อบิลล์ ลอมบาร์ดี ที่ถือเป็นติวเตอร์คอยช่วยวิเคราะห์หมากกระดานต่างๆ ของคู่แข่งบ็อบบี้และยังเดินหมากลับคมกับบ็อบบี้อยู่บ่อยๆ รายนี้ก็แสดงได้ดีอีกเช่นกันครับ แต่ก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าบทในหนังอาจไม่เปิดโอกาสให้เขาได้แสดงอะไรเท่าไร

ครับ จริงๆ หนังทำออกมาได้เข้าท่า แต่จุดอ่อนประการหนึ่งคือหนังเน้นย้ำประเด็นความหวาดระแวงของบ็อบบี้มากจนอาจจะเรียกได้ว่ามากเกินไปหน่อย ทำให้เราไม่ค่อยได้เห็นศักยภาพหรือความเทพในเชิงหมากรุกของเขาสักเท่าไร ซึ่งกรณีแบบนี้ก็เหมือนกับหนัง The Iron Lady ที่เล่าเรื่องของมาร์กาเร็ต แธตเชอร์น่ะครับ แต่แทนที่หนังจะเล่าถึงคุณงามความดีที่เธอทำต่อชาติบ้านเมือง หรือวันที่เธอใช้สมองต่อสู้ต่อกรกับเสือสิงห์กระทิงแรดเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน แต่หนังกลับไปเน้นอาการป่วยของเธอ และวันในยามโรยราของเธอแทน

กับเรื่องนี้ก็พอกันครับ หนังไม่เน้นความสามารถในเชิงหมากของบ้อบบี้เท่าที่ควร คือมีน่ะมีครับ แต่ถือว่าไม่สะใจ โดยส่วนตัวแล้วฉากที่ดีที่สุดคือฉากที่บ็อบบี้เดินหมากกับบอริสในห้องแคบๆ ซึ่งตอนนั้นการเดินหมากมันตื่นเต้น เร้าใจ และลุ้นมากๆ ลุ้นจนผมคิดว่า โอเค เอาล่ะ ช่วงต้นๆ ไม่ค่อยได้มีฉากเดินหมากก็ไม่เป็นไร แสดงว่าหนังคงเก็บของดีไว้ตอนหลังๆ ล่ะมั้ง

แต่ปรากฏว่าตอนหลังๆ ฉากการเดินหมากก็ไม่ถึงกับเข้มนักครับ โดยเฉพาะหมากกระดานที่ 6 ในตำนาน คือจริงๆ บรรยากาศน่ะออกมาดีนะครับ อารมณ์มันประมาณว่าบ็อบบี้เดินหมากแบบไร้กระบวนท่า ไร้จิต ไร้ใจ ไร้ตัวตน มันคือการเดินหมากที่ยากต่อการคาดเดา หรือถ้าใช้คำพูดที่หลายๆ คนเคยขนานนามไว้ก็คือ “หมากกระดานนี้ มีแต่พระเจ้าเท่าที่นั้นที่ทรงรู้ว่าจะลงเอยอย่างไร” คืออารมณ์ในฉากนั้นผมว่าได้ครับ

แต่จุดน่าเสียดายคือกล้องแทบไม่จับไปที่กระดานเท่าไร แทนที่เราจะได้เห็นว่าใครเดินหมากอย่างไร เกิดการขับเคี่ยวอย่างไรบ้างในตอนนั้น หนังกลับไม่นำเสนอในจุดนี้ รู้ตัวอีกทีผลแพ้ชนะก็ปรากฏแล้ว ยอมรับเลยว่าแอบเสียดายเหมือนกันครับ เพราะจริงๆ ถ้าหนังถ่ายภาพการเดินหมากนัดนี้แบบชัดๆ มันจะเป็นอะไรที่สุดยอดมาก หรือถ้ากลัวคนเล่นหมากรุกไม่เป็นดูไม่รู้เรื่องก็เพิ่มฉากคนข้างสนามบรรยายประกอบก็ได้ แบบที่หนังกีฬาเจ๋งๆ หลายๆ เรื่องชอบทำนั่นแหละ แต่ก็น่าเสียดายครับที่หนังไม่ได้เลือกเช่นนั้น

ครับ ดูจบแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าหนังน่าจะลดทอนเนื้อหาในส่วนอาการทางจิตของบ็อบบี้ลง แล้วเน้นที่เรื่องหมากให้มากสักหน่อย หนังคงเข้มข้นขึ้นเยอะน่ะครับ หรือไม่ถ้าอยากจะเน้นในเรื่องจิตของบ็อบบี้จริงๆ ล่ะก็ ผมว่าหนังไม่ควรเล่าจบแค่การพบกันระหว่างบ็อบบี้กับบอริส แต่ควรเล่ายาวไปถึงชีวิตบั้นปลายของเขาที่จริงๆ มีประเด็นน่าค้นหามากมาย และยังมีอีกหลายแง่มุมที่น่ารู้ (โดยเฉพาะการที่เขาต้องกลายเป็นคนไร้สัญชาติในเวลาต่อมา)

หนังกำกับโดย Edward Zwick ผู้กำกับจอมเกียรติยศที่ขยันทำหนังดีๆ ออกมาตลอด ไม่ว่าจะ Glory, Legends of the Fall, The Last Samurai และ Blood Diamond กับเรื่องนี้ผมก็ว่าเขากำกับดีนะ จังหวะเรื่อง การแสดง อารมณ์หนังมันพอเหมาะ แต่จุดที่ยัง “ดีได้อีก” คือเรื่องบทน่ะครับ ที่ยังจับประเด็นได้ไม่จับใจเท่าที่ควร

แต่กระนั้นก็ถือเป็นหนังที่คุ้มค่าแก่การดูครับ ^_^

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)