Horror

Survival of the Dead (2009) คนครึ่งดิบไม่รีบตาย

1359566109

และนี่ก็คือภาคที่ 6 ใน หนังชุดซอมบี้ตระกูล of The Dead ของลุง George A. Romero ต้นตำรับซอมบี้ผีกินคนเจ้าเก่านะครับ

เรื่องราวในภาคนี้ก็เกิดขึ้นไล่ๆ กับภาคที่แล้ว (Diary of the Dead) โดยจะมาโฟกัสที่ จ่านิโคติน คร็อกเกตต์ (Alan Van Sprang) ที่เราเห็นแว้บๆ ในภาคก่อน โดยที่เขากับทีมทหารก็ต้องพยายามเอาตัวรอดในโลกที่มีแต่ซอมบี้ล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปหมด

แล้วพวกเขาก็ได้เจอกับ แพทริค โอ ฟลินน์ (Kenneth Welsh) ชายชราที่บอกว่ายังมีเกาะอีกแห่งที่รอดพ้นจากเหล่าซอมบี้ และสามารถใช้เป็นฐานที่มั่นเพื่อดำรงชีวิตได้ เกาะนั้นมีชื่อว่า พลัม ไอส์แลนด์

แต่เมื่อพวกเขาไปถึง กลับพบว่าเกาะนี้ก็มีซอมบี้ไม่ต่างจากที่อื่นครับครับ และมิหนำซ้ำเหล่าซอมบี้ก็ไม่โดนกำจัดด้วย แค่โดนล่ามไว้หรือไม่ก็ปล่อยให้เดินตามปกติ

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะมีชายชื่อ เชมัส มัลดูน (Richard Fitzpatrick) ผู้นำของคนบนเกาะ ที่เชื่อว่าซอมบี้คือโรคร้ายชนิดหนึ่งที่สามารถรักษาให้หายได้ เพียงแต่อาจต้องใช้เวลาและการค้นคว้าสักหน่อย พวกเขาเลยไม่ฆ่าซอมบี้ เพื่อรอยารักษาที่อาจจะมีในสักวัน

แต่ลองว่าเป็นซอมบี้แล้ว… มันจะรอจนถึงวันที่มียารักษาได้ โดยที่ไม่เขมือบใครจริงๆ น่ะหรือ?

ยอมรับว่าภาคนี้ออกมานิ่งๆ เรื่อยๆ ไม่ได้ตื่นเต้นเร้าใจเท่าภาคก่อนๆ จนอาจจะทำให้หลายคนเบื่อเอาได้ง่ายๆ ซึ่งก็ต้องบอกล่วงหน้าเลยครับว่าคนที่คาดหวังหนังซอมบี้แบบมันส์ๆ หรือลุ้นเยอะๆ ก็ขอให้ทำใจไว้สักนิด เพราะสิ่งที่ ลุง Romero แกเน้นนั้น ไม่ใช่เรื่องความสยองหรือความสะใจ แต่แกเน้นที่ “การตั้งประเด็นและการตอบสนองความต้องการของแกเอง”

Untitled04491

ที่ว่าตอบสนองความต้องการก็คือ หนังมีการผสมสไตล์คาวบอยลงไปด้วยครับ อันนี้ลุงเขาอยากลองผสมซอมบี้เข้ากับคาวบอยมานานแล้ว ผลก็ถือว่าไม่เลวในเรื่องบรรยากาศครับ (ชนบท ทุ่งหญ้า ม้า มาเจอกับซอมบี้) แต่จัดว่าไม่ผ่านในเรื่องของความสนุกบันเทิง

อีกจุดที่แกเน้น คือการต่อยอดแนวคิดเกี่ยวกับ “ซอมบี้” และ “มนุษย์” ที่เขาพยายามสอดแทรกมาตลอด

แนวคิดสำคัญที่ลุงย้ำเสมอคือ “ซอมบี้เรียนรู้ได้” มาภาคนี้ก็ยังคงนำเสนอต่อไปครับ ถึงความเป็นไปได้ว่าซอมบี้จะสามารถมีสติกลับคืนมาได้หรือไม่ จนผมอยากรู้เลยครับว่าถ้ามันมีตอนต่อมันจะเป็นยังไง เพราะปมที่เปิดไว้ในตอนท้ายนับว่าเปิดประเด็นเพื่อสานต่อแนวคิดนี้ได้อย่างน่าสนใจ (แต่ดูเหมือนผมจะต้องฝันค้างครับ เนื่องจากภาคนี้ไม่ทำเงินอย่างแรง หนังเลยหมดลมที่ภาคนี้ – ลงทุนไป $4 ล้าน ได้คืนมาราวๆ 380,000 เหรียญน่ะครับ)

สำหรับประเด็นวิพากษ์มนุษย์นั้น ก็มีหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น “การยึดมั่นถือมั่นในความคิดของตนเป็นใหญ่” ประมาณว่าความคิดเราถูกเสมอ แต่ความคิดคนอื่นนั้นผิด หรือต่อให้ถูกก็ไม่ถูกเท่ากับความคิดของเรา

ซึ่งจริงๆ “การคิดไม่เหมือนกัน” ก็ไม่ใช่ปัญหาครับ แต่ปัญหามันเริ่มเมื่อ “คนคิดไม่เหมือนกัน” ตั้งหน้าปกป้องความคิดตนเอง จนพร้อมจะมีเรื่องกับใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วย หรือไม่ยอมทำตามตน

อีกประเด็นที่ลืมไม่ได้ก็คือ “บางครั้งคนเรา ก็น่ากลัวและไม่น่าไว้ใจ ยิ่งกว่าซอมบี้เสียอีก” อันนี้ก็มีแทรกในหนังของลุงเขาบ่อยๆ

หนังภาคนี้เลยออกแนวนำเสนอแนวคิดมากกว่าจะนำเสมอความสยองหรือความสนุกสนานบันเทิง จึงไม่น่าแปลกครับหากคนดูจะเฉยๆ แต่ถ้าใครชอบและสนุกกับการคิดตามหนังซอมบี้ของลุง Romero แล้ว ก็น่าจะสนุกเล็กๆ ไปกับการคิดตามที่ลุงเขากระซิบบอกมาในหนัง

ผมชอบประโยคสุดท้ายของหนังที่บอกว่า ในโลกที่แตกแยก จะมีคนปักธงขึ้น จากนั้นก็จะมีอีกคนลุกขึ้นมาฉีกธง แล้วปักธงของตัวเองแทน จากนั้นสงครามก็จะเกิด และไม่นานก็จะไม่มีใครจำได้ว่าสงครามมันเริ่มจากไหน

และในที่สุด มันจะกลายเป็นการต่อสู้เพื่อธงโง่ๆ ของเราเอง

อย่าคาดหวังในความสนุกครับ ถือว่าเรื่อยๆ ในฐานะหนังสยองหรือหนังซอมบี้ แต่มีอะไรที่น่าสนใจตรงประเด็นสะท้อนโลก ที่ ลุง George A. Romero ใส่ลงมา และนี่ก็คือบทปิดตำนานหนังชุด of The Dead ของลุงเขา เพราะนี่คืองานกำกับชิ้นสุดท้าย ก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไปในปี 2017 – ขอไว้อาลัยมา ณ ที่นี้ครับ

น้อยกว่าสองดาวครับ

Star12

(5.5/10)