Alexander and the Terrible, Horrible, No Good, Very Bad Day ดัดแปลงจากหนังสือสำหรับเด็กที่ได้รับความนิยมมาหลายสิบปีครับ (ตีพิมพ์ครั้งแรกปี 1972) เนื้อเรื่องว่าด้วยหนุ่มน้อย อเล็กซานเดอร์ (Ed Oxenbould) ที่ชีวิตของเขาเต็มด้วยคำว่า “ซวยซ้ำซ้อน” และ “ซวยซ้ำซาก” แต่พ่อแม่พี่น้องเขากลับไม่มีใครเข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว
อยู่มาวันหนึ่งอเล็กซ์กำลังซวยสุดๆ แต่ทุกคนในครอบครัวกลับไม่คิดจะให้กำลังใจเขาเลย เขาเลยอธิษฐานในวันเกิด ขอให้ทุกคนเข้าใจหัวอกคนสุดซวยประจำเมืองอย่างเขาบ้าง… แล้วก็ตามคาดครับ วันรุ่งนี้ทุกคนซวยระดับบรรลัยวายป่วงตามคำอธิษฐานเป๊ะ
ใครชอบหนังชุด Diary of a Wimpy Kid ก็ไม่ควรพลาดเรื่องนี้ครับ ความสนุกถือว่าไม่น้อยหน้ากัน (แต่โดยส่วนตัวผมมองว่า Wimpy Kid ลงตัวกว่าหน่อย) หนังได้ดาราที่พร้อมจะเล่นบทฮาแบบไม่ห่วงภาพพจน์อย่าง Steve Carell และ Jennifer Garner ที่มาเป็นพ่อและแม่ของอเล็กซ์ 2 รายนี้ก็เล่นได้ลื่นดีครับ แล้วก็ยังมี Bella Thorne มาแสดงสมทบในบทสาวน้อยที่พี่ของอเล็กซ์หมายปอง
เป็นหนังที่ดูเพลินดีครับ ฮาเป็นพักๆ อาจไม่ถึงขั้นฮาน้ำตาไหล แต่ก็คลายเครียดได้สบายๆ หนังกำกับโดย Miguel Arteta (The Good Girl, Cedar Rapids และซีรี่ส์ทีวีอีกหลายตอน) ซึ่งก็ถือว่าเขาคุมหนังได้ไม่เลวครับ ออกมาพอดีๆ
++++++++++++++++++++++++++++++
สาระสำคัญของหนังหนีไม่พ้นเรื่องครอบครัวครับ บางครั้งคนในครอบครัวก็ลืมที่จะใส่ใจกัน ไม่ใช่ไม่ใส่ใจนะ คือยังใส่ใจหวังดีนั่นแหละ เพียงแต่บางจังหวะก็ลืมไป คิดว่าไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวค่อยใส่ใจก็ได้ หรือไม่ก็มองว่า “อ๋อ เจอปัญหาเหรอ ไม่เป็นไรน่า เดี๋ยวมันก็ผ่านไป”
สุดท้ายคนที่เครียดอยู่หรือเจอปัญหาอยู่ก็ไม่มีใครให้คำปรึกษา ไม่มีใครให้ระบายหรือแนะนำทางออก เลยนั่งเครียดวนเวียนอยู่กับตัวเอง คิดไปคิดมาคิดไม่ออกก็ยิ่งเครียด ไปๆ มาๆ ก็พาลโกรธคนอื่นๆ ที่ไม่สนใจตนไปเสียอย่างนั้น
เรื่องเหล่านี้ละเอียดอ่อนครับ อยู่ที่เราจะมองในมุมไหน ถ้าเรามองในมุมคนที่สบายใจ ก็อาจคิดว่าเรื่องของใครก็ของเขา จะมาโกรธเราได้ยังไง อย่างนี้มันพาลนี่หน่า
แต่ถ้ามองในคนที่กำลังหมดแรงหมดใจล่ะก็ เขาแค่กำลังต้องการใครสักคนโอบหลังตบไหล่ครับ แค่มีคนถามไถ่เขาก็ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่หากไม่มีใครสนใจหรือทำเหมือนเรื่องสำคัญที่เขากำลังเผชิญอยู่เป็นเรื่องไร้สาระ ความไม่พอใจก็เกิดขึ้นได้ ประมาณว่า “ช่วยแค่นี้ไม่ได้ใช่ไหม” มันคือเรื่องของความรู้สึกจริงๆ ครับ
ผมชอบนะครับเรื่องนี้ ความสนุกก็โอเค แต่ที่โอเคกว่าคือแง่คิดที่กระตุ้นให้คนในครอบครัวหันมาให้เวลากัน ยิ่งครอบครัวไหนใหญ่ๆ แล้วชอบบอกว่า “ไม่มีเวลาให้กัน เพราะคนเยอะ” แต่หากคิดในแง่หนึ่งแล้ว คนเยอะนี่แหละครับดี ช่วยกันแบ่งเบา ช่วยกันประคองคนในบ้านที่กำลังเครียดได้แบบแบ่งๆ กันไป
เช่น น้องคนรองเครียด ก็ให้พี่คนโตแวะมาตบไหล่นิดนึง ให้น้องคนเล็กมายิ้มให้หน่อย ให้พ่อแม่แนะนำหน่อย หลายอย่างที่หนักหัวคนเครียดก็เบาลงเยอะแล้วครับ แม้ปัญหาจะไม่คลี่คลาย แต่อย่างน้อยคนที่เครียดก็จะบรรเทาลง และยังมองว่าชีวิตยังมีหวังได้
+++++++++++++++++++++++++++++
และสำหรับคนเจอปัญหานะครับ เรามักจะมองว่าปัญหาเราใหญ่ที่สุดในสามโลก ปัญหาคนอื่นน่ะไม่เท่าไรหรอก แต่ของฉันมันใหญ่ มันยุ่ง มันคอขาดบาดตาย ไม่ว่าปัญหาจะหนักจริงหรือไม่ แต่เราจะมองว่าหนักมองว่าใหญ่อยู่เสมอครับ
อันนี้ไม่ใช่ของแปลก ก็เพราะปัญหาของเรามันอยู่ใกล้เราไงครับ เราย่อมมองเห็นมันชัดกว่าใคร ในขณะที่คนอื่นมองจากมุมไกล ก็มองว่ามันไม่ใหญ่เท่าไรน้า แต่ของฉันสิ (ที่ตัวเองอยู่ใกล้) มันใหญ่กว่านะ มันคือเรื่องปกติครับ เถียงกันให้ตายก็ไม่จบครับว่าปัญหาใครใหญ่กว่ากัน (และจริงๆ ก็ไม่รู้จะเถียงไปทำไม ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย)
เมื่อเราเจอปัญหา ก็ลองรับมือมันครับ ถ้าไม่ไหวก็ไปพัก ถ้าอยากได้คนช่วยก็ร้องขอ อย่ามัวแต่รอให้คนมาช่วยโดยไม่เอ่ยปาก (เพราะบางครั้งคนอื่นก็ไม่รู้หรอกครับว่าเราต้องการความช่วยเหลือ) หรือถ้าปัญหามันใหญ่มากๆ ก็ลองถอดมันทีละส่วน ดูว่าเราพอจะแยกย่อยปัญหา แก้ทีละส่วนได้ไหม ลองลดขนาดมันดูก่อนครับ
อย่าลืมนะครับ ถ้าเหนื่อยก็ต้องพัก ถ้าหนักก็ต้องผ่อน ถ้าง่วงก็ต้องนอน
++++++++++++++++++++++++++++
เอาเป็นว่าดูได้สนุกๆ เลยครับผม แล้วอย่าลืมใส่ใจคนรอบข้างด้วยนะครับ
สองดาวใกล้ครึ่งครับ
(6.5/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Comedy, Family