รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

Final Destination (2000) 7 ต้องตาย โกงความตาย

main-qimg-eb52051f451327d5e21b45f8157668a1-c

ต้นตำนานของการโกงความตาย พระเอกคือ อเล็กซ์ แชนซ์ บราวนิ่ง (Devon Sawa) ที่ดันเห็นลางบอกเหตุสารพัดก่อนขึ้นเครื่องบินไปทัศนศึกษา จนเขาสังหรณ์ว่าเครื่องบินลำที่กำลังจะขึ้นต้องมีเหตุร้ายแน่ เลยอาละวาดตกใจด้วยความกลัวจนตัวเองและเพื่อนๆ อีกกลุ่มหนึ่งโดนลากออกมาจากเครื่อง

ก็แน่ล่ะครับพระเอกโดนหาว่าบ้า จนกระทั่งไม่กี่นาทีต่อมาเครื่องบินดันบึ้มขึ้นมาจริงๆ เท่านั้นแหละทุกคนพากันเชื่ออเล็กซ์ทันที แต่หารู้ไม่ว่านี่คือจุดเริ่มต้นของความสยองของแท้ เพราะแม้พวกเขาจะรอดจากอุบัติเหตุเครื่องบิน แต่ยมบาลก็ยังไม่ลบชื่อพวกเขาออกไปจากบัญชีคนตาย คนที่รอดมาพากันตายด้วยวิธีการพิสดาร จนอเล็กซ์เริ่มเอะใจว่าเขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดความตายที่ไล่ล่าพวกเขาให้ทัน ก่อนจะตายกันหมด

ภาคแรกต้นเรื่องครับ เขียนบทโดย Jeffrey Reddick ที่จับงานอันนี้เป็นชิ้นแรก ซึ่งก็ไปเตะตา Glen Morgan กับ James Wong สองซี้ที่คร่ำหวอดอยู่กับหนังชุด The X-Files ทีนี้เริ่มแรกทั้งสองกะจะเอาบทไปทำเป็นตอนหนึ่งของ The X-Files ซะเลย Morgan และ Wong ก็เลยมาสานต่อเรื่องราว เตรียมทำลง The X-Files แต่พอปั้นเรื่องไปก็ชักจะมันส์ สามารถขยายเรื่องได้เรื่อยๆ จนในที่สุดก็ขยายเป็นหนังใหญ่อย่างที่เห็นนี่แหละครับ โดย Wong เป็นคนกำกับ

โดยส่วนตัวภาคนี้ผมชอบที่สุด ไม่ใช่เพราะมันสร้างก่อนนะครับ ตอนแรกก็นึกเหมือนกันว่าทำไมเราถึงชอบภาคนี้ เป็นเพราะเราดูมันเป็นครั้งแรกหรือเปล่า หรือเพราะความสด แต่นี่ก็ดูไปตั้งนานหลายปี ถ้าจะบอกว่ามันสดก็คงไม่ใช่ เลยได้คำตอบขึ้นในใจ สงสัยเพราะเนื้อในที่ไม่ใช่แค่หนังสยองขอไปทีเท่านั้น

จุดที่ถือว่าเด็ดของหนัง ยิ่งในช่วงที่มันออกฉายก็คือ ระยะนั้นหนังสยองขวัญวัยรุ่นแนวไล่ฆ่ากำลังมาแรง จนแต่ละคนพยายามเข็นบทของตัวเองออกมาเผื่อจะดังแบบ Kevin Williamson แห่ง Scream และ I Know What You Did Last Summer บ้าง แต่แพทเทิร์นหนังสยองช่วงนั้นมาแนวเดียวเลยครับ คือมีฆาตกรโผล่มาฆ่าวัยรุ่นทีศพๆ แล้วหนังก็ลากยาวไป 90 นาทีก่อนจะเฉลยว่าเจ้าฆาตกรทำไปทำไมและเพื่ออะไร ซึ่งก็มีแต่ FD นี่แหละที่มีกลิ่นอายคล้าย แต่แหวกแนวไปแทนที่จะให้คนหรือฆาตกรอมตะที่ไม่รู้จักตายมาลงมือหาเหยื่อ แต่กลับให้ “ความตาย” มาเป็นผู้ร้าย ไล่เก็บคนที่ถึงฆาตเสียเอง

แบบนี้ความใหม่เลยเยอะครับ เพราะปกติฆาตกรต่อให้เหนือมนุษย์ยังไงแต่ก็ต้องฆ่าโดยโผล่มาเอามีดไล่จิ้ม แต่ FD เล่นเอาคนดูขนลุกไปไม่ใช่น้อย เพราะความตายที่เกิดกับเหยื่อแต่ละรายล้วนเป็นอุบัติเหตุที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ขนาดสถานที่ที่ไม่น่าเกิดภัยใดๆ ยังมีของแหลมพุ่งมาทิ่มได้

ความสนุกเลยอยู่ตรงนี้ล่ะครับ ลุ้นว่าและรายจะตายอย่างไรและคนที่เหลือจะรอดไปได้หรือไม่

ส่วนจังหวะจะโคนของภาคนี้ก็ถือว่าลงตัวสุด นอกจากจะสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับความตายขึ้นมาแล้ว ยังมีบรรยากาศชวนผวาที่สุด นั่นคือมืดๆ หม่นๆ แต่ละฉากดูมืดๆ ครับ โทนดำแบบเหมือนมีอะไรบางอย่างครอบคลุมอยู่ตลอด ทำให้พอมีสีแดงของเลือดโผล่มาเมื่อไหร่ล่ะได้สะดุ้งกันพอดี

แต่ที่รู้สึกเต็มๆ อย่างหนึ่งคือ ภาคนี้ตอนดู ตอนเห็นเหยื่อแต่ละคนกำลังจะถูกฆ่า มันจะสัมผัสได้ถึงอารมณ์ผวาครับ เหมือนในห้องนั้นเหยื่อไม่ได้อยู่คนเดียว แม้ทั้งฉากจะเห็นแค่เหยื่อยืนอยู่ก็เถอะ แต่ก็เสียวสันหลังวาบได้ทุกทีไป

Sawa ก็เกิดไปกับเรื่องนี้พอตัว แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีเรื่องไหนจะสร้างชื่อให้เขาได้อีกเลย พอๆ กับ Ali Larter นางเอกคนสวยที่ผมล่ะปลื้มมานาน สวยมั่นดีจริงๆ ในเรื่องเธอก็หวาดผวาได้ไม่เลวล่ะครับ, Seann William Scott ไอ้หนุ่มสติฟเลอร์จอมบ้าจาก American Pie มาเรื่องนี้มาในโทนหงอๆ พี่แกก็เล่นได้ล่ะครับ ฮาดี ตามด้วย Tony Todd ผู้ผูกขาดบทผีร้ายแคนดี้แมนในหนังชุด Candyman มารับบทคนเฝ้าสุสานที่มาพร้อมทฤษฎีเกี่ยวกับความตาย แม้แกจะโผล่ไม่กี่ฉากแต่ก็มาเพื่อขลังครับ เพิ่มความขลังให้หนังไม่ใช่น้อย

Alex-Having-a-vision-final-destination-2000-37451024-1200-773

ภาคนี้มันเลยค่อนข้างครบเครื่อง ฉากสยองฉากแหวะอาจน้อยหากเทียบกับภาคอื่นๆ แต่หวาดเสียวครับ ยิ่งฉากตายในห้องน้ำนั่นเล่นเอาผมหวาดผวากลัวลื่นในห้องน้ำไปพักหนึ่งเลยล่ะ ตามด้วยดารามีฟอร์มดี และบรรยากาศชวนกดดันที่มาคุตลอดทั้งเรื่อง อันนี้ก็ต้องชม Wong ล่ะครับ กำกับได้ดี คุมฟอร์มได้หม่น จนพาลจะนึกถึง The X-Files อยู่ตะหงิดๆ แต่ดีที่หนังมีดีครับ เลยพอจะมองข้ามได้

ใครดูแล้วก็คงไม่ต้องสาธยายมาก แต่ถ้าท่านยังไม่เคยดูก็แนะนำเลยครับ สยองขวัญใช้ได้ ฉากตายก็ไม่เลว อาจจะไม่แรงเท่าภาคหลังๆ แต่บอกได้ว่ามันเหนือกว่าตรงความเสียวครับ

เกร็ดอีกนิดหน่อยของหนังคือ ท่านทราบไหมครับว่าชื่อตัวละครแต่ละรายนั้น ถ้าไม่ชื่อก็นามสกุลล้วนเอามาจากชื่อดาราหรือผู้กำกับหนังสยองรุ่นเก่าทั้งสิ้น อย่างตัวละครเทอร์รี่ เชนี่ย์ ก็เอามาจาก Lon Chaney ยอดดาราสยองขวัญฉายาดาราพันหน้า, บิลลี่ ฮิตช์ค็อก ที่ Seann William Scott แสดง รายนี้คงไม่ต้องพูดว่าเอานามสกุลมากจากใคร หรือพระเอกของเรานามสกุลบราวนิ่ง ก็ตรงกับ Tod Browning ผู้กำกับ Dracula เวอร์ชั่น 1931

เชื่อว่าหลายคนดูหนังเรื่องนี้แล้วจะก้าวเดินด้วยความระมัดระวังอย่างแน่นอน อันนี้ก็ถือเป็นกำไรคิดจากหนังนะครับ ถ้าจะบอกว่ามันไม่มีสาระอะไรเลยก็คงไม่ใช่ เพราะอย่างน้อยหนังก็เตือนเราน่ะครับ ว่าทำอะไรให้ระวัง และอย่าประมาท เพราะว่าตามจริงคืออุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา อยู่ที่เรามีสติและความระแวดระวังมากเพียงไหน

ขอให้โชคดีนะครับทุกท่าน

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)