
สิ่งแรกที่อยากจะบอกคือ กะไว้แล้วครับว่าพอดูจนจบนะ ยังไงมันก็จะต้องจบแบบปลายเปิด ทิ้งเชื้ออะไรสักอย่างไว้เผื่อทำตอนต่ออีกอยู่ดี แม้ชื่อจะบอกว่า The Final Chapter แค่ไหนก็เถอะ
สิ่งแรกที่อยากจะบอกคือ กะไว้แล้วครับว่าพอดูจนจบนะ ยังไงมันก็จะต้องจบแบบปลายเปิด ทิ้งเชื้ออะไรสักอย่างไว้เผื่อทำตอนต่ออีกอยู่ดี แม้ชื่อจะบอกว่า The Final Chapter แค่ไหนก็เถอะ
ปีนี้รู้สึกเลยครับว่าตัวเองดูหนังบ้านผีสิงบ่อยมาก ก็ไม่รู้ว่าเขาขยันสร้างกันหรือจริงๆ มันก็มีบ่อยๆ เป็นปกติอยู่แล้ว แต่ผมแค่มีโอกาสได้ดูบ่อยขึ้นในปีนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันน่ะนะครับ
ถือเป็นหนังตลกแหว๋วๆ ที่ผมชอบแบบพลิกความคาดหมายเลยครับ ตอนแรกก็นึกว่าจะฮาๆ เบาๆ ไม่มีอะไรมาก แต่ที่ไหนได้หนังมีพร้อมทั้งความฮาแบบน่ารัก และสาระดีๆ ที่ “คนมีความรัก” น่าเก็บไปไตร่ตรอง
ถ้าให้ว่ากันจริงๆ หนังที่สร้างจากเกม Resident Evil (หรือชื่อคุ้นเคยสำหรับบ้านเราว่า Bio Hazard) มันก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ไปกว่าเดิม มันก็วนอยู่กับฝูงซอมบี้, ผีชีวะกลายพันธุ์, บริษัทอัมเบรลล่าที่เอาแต่จะทำกำไรทั้งที่โลกหายนะจนไม่รู้จะหายนะยังไงแล้ว, กลุ่มผู้รอดชีวิตที่มักจะเจอหายนะชุดใหญ่ทันทีที่เจ๊อลิซ (Milla Jovovich) นางเอกประจำเรื่องเฉียดกรายเข้ามาในชีวิต (ก่อนหน้านี้ก็อยู่กันดีๆ พอเจ๊แกมางานเข้าทุกรอบ 555)
มาว่ากันให้ครบ กับตอนที่สองของหนังชุดโกงความตายที่ยังสานต่อเรื่องราวครับ งานนี้โยงมาที่คนกลุ่มใหม่ นำโดย คิมเบอร์ลี่ คอร์แมน (A.J. Cook) สาวน้อยที่ดันไปเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าว่าจะเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่กลางทางหลวง ก็เลยจัดการยับยั้งจนคนมากมายรอดมาได้ แต่ก็ซ้ำรอยภาคแรกครับ รอดมาไม่ได้แปลว่าจะรอดตาย ความตายก็ได้จัดการเดลิเวอร์รี่การตายอย่างสุดแสนสยองมาถึงบ้าน
นี่คือต้นแรกเริ่มนะครับ ของเรื่องการโกงความตาย พระเอกคือ อเล็กซ์ แชนซ์ บราวนิ่ง (Devon Sawa) ที่ดันเห็นลางบอกเหตุสารพัดก่อนขึ้นเครื่องบินไปทัศนศึกษา จนเขาสังหรณ์ว่าเครื่องบินลำที่เขากำลังจะขึ้นต้องมีเหตุร้ายแน่ เลยอาละวาดตกใจด้วยความกลัวจนตัวเองและเพื่อนๆ อีกกลุ่มหนึ่งโดนลากออกมาจากเครื่อง
สิ่งที่ทำให้ผมจำหนังเรื่องนี้ได้ก็ด้วย Soundtrack เพลงนำของหนังที่ได้ Britney Spears มาขับขานให้ เรียกว่าเพลงออกจะดังกว่าตัวหนังด้วยน่ะครับ
Resident Evil หรือ Bio Hazard ถือเป็นเกมชุดแรกครับที่มีโอกาสทำออกมาเป็นหนังจนครบไตรภาค
อีกครั้งที่ตำนานของคาวบอยนอกกฎหมาย เจสซี่ เจมส์ถูกเอามาถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์ งานนี้ได้ Colin Farrell มารับบทนำ
หนังฉายหลังจาก The Haunting ซักพักนึงครับ และพอดูแล้วก็บอกได้สั้นๆ ว่า “เออ มันต้องหยั่งงี้ดิ!”