หลังดูภาคนี้จบแล้วผมตระหนักได้อย่างหนึ่งครับว่า หนังชุด Saw 7 ภาคแรกนั้นถือเป็นหนังที่มีศิลปะในการนำเสนอ และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้หนังชุดนี้มีความแตกต่างจากหนังไล่เชือดและหนังสยองเรื่องอื่นๆ ที่ส่วนมากพอทำออกมาได้ไม่กี่ภาคก็ต้องจบตัวเองลง หรือไม่ก็ทู่ซี้ทำแบบย่ำอยู่กับที่จนกว่ารายได้จะติดตัวแดงกันไป
ศิลปะที่ว่านี่ก็เริ่มตั้งแต่ฉากความรุนแรง ที่แม้ผมจะไม่สนับสนุบให้ใครทำตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่าลูกเล่นฉากพวกนี้มันมีมากกว่าหนังเรื่องอื่นๆ หลายฉากมันมีรายละเอียด หลายกับดักมันมีความซับซ้อน อันเป็นการยกระดับให้ Saw เหนือกว่าหนังเชือดเรื่องอื่นๆ
ศิลปะต่อมาคือการเล่าเรื่อง ที่ชอบเอาล่อเอาเถิดกับความคิดและความเคยชินของคน อย่างเรื่องไทม์ไลน์ที่สนุกกับการหลอกคนดูแบบเนียนๆ อันไหนเกิดก่อนเกิดหลังบางครั้งก็ดูไม่ออก และยังสามารถเอาเรื่องไทม์ไลน์มาใช้ประโยชน์ในการทำภาคต่อ ขยายเรื่องราวได้เรื่อยๆ
และที่ขาดไม่ได้คือศิลปะการเชื่อมเรื่อง ไม่ว่าจะการเชื่อมเรื่องราวภายในภาคนั้นๆ ซึ่งการทิ้งปมทิ้งร่องรอยไว้ระหว่างทาง ก็เปรียบได้กับการโปรยเศษขนมปังให้เราเก็บตามทางไปเรื่อยๆ ซึ่งจุดนี้ถือเป็นศิลปะสำคัญของหนังชุดนี้ก็ว่าได้ครับ เพราะการทิ้งปมที่ว่านี้ มันต้องทิ้งปมแบบให้ดูเนียน ให้ดูไม่จงใจเกินไป
เพราะถ้าทิ้งปมชัดเกิน คนดูก็จะเดาทางได้เลยว่าเดี๋ยวเรื่องมันจะหักมุมไปทางไหน ดังนั้นจุดอร่อยอย่างหนึ่งของหนัง Saw คือการทิ้งปมไว้แบบไม่ให้คนดูรู้ แต่ก็ต้องทำให้คนดูเห็นในระดับหนึ่ง เพื่อที่พอเรื่องดำเนินไปถึงตอนท้าย คนดูก็จะได้นึกออก และอึ้งกับอะไรก็ตามในบทสรุปประจำตอน
และศิลปะอีกหนึ่งอย่างคือการเชื่อมเรื่องระหว่างภาค ที่หลายคนอาจรู้สึกว่ามันออกแนวแถ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าหนังชุดนี้แถได้ค่อนข้างเนียน แถได้เป็นเนื้อเดียวกัน แถแล้วไม่รู้สึกขัดกับตอนก่อนๆ ซึ่งการจะแถให้เป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้ คนทำก็ต้องเจ๋งจริงในระดับหนึ่ง
อีกอย่างที่ขาดไม่ได้คือแง่คิดบางอย่างที่สอดแทรกลงไปในหนัง จริงที่จิ๊กซอว์ใช้วิธีการสอนวิชาชีวิตแบบโหดร้ายเกินไป (ไม่) หน่อย แต่หากถอดเอาความรุนแรงออกไป แล้วมองกันที่แง่คิดแล้ว ก็จะพบว่ามันมาพร้อมประเด็นดีๆ บางทีก็สะท้อนสังคมเน่าๆ ซึ่งชวนให้เราขบคิดใคร่ครวญถึง ว่าบางเรื่องบางอย่างเราจะปล่อยให้มันยังคงเน่าต่อไปจริงๆ หรือ
นั่นล่ะครับคือสารพัดศิลปะของ Saw ที่ทำให้หนังชุดนี้แม้จะอุดมกลิ่นคาวเลือดแค่ไหนก็ตาม แต่มันก็ไม่เป็นหนังที่เอาแต่ขายความสยอง เพราะมันไม่ลืมคอนเซปต์เฉพาะตัวของตนเอง กระทั่งภาค 7 ที่อาจอ่อนด้อยที่สุด ก็ยังถือว่ามีส่วนผสมของศิลปะที่ว่านี่ลงไปอยู่ (แต่ปริมาณมันน้อยไปเท่านั้นเอง)
ส่วนนี่คือภาคต่อลำดับที่ 8 ของ Saw ครับ ซึ่งก็ขำดี เพราะจำได้เลยว่าภาค 7 เขาประกาศชัดว่ามันจะเป็นเกมสุดท้าย แต่เพียงแค่ 2 ปีหลังจากภาค 7 ก็เริ่มมีข่าวว่าผู้สร้างอยากทำต่อ จนบดนี้ผลงานภาค 8 ก็คลอดออกมา หลังจากภาค 7 เป็นเวลาประมาณ 7 ปี
บอกตรงๆ ว่าผมพยายามไม่หวังครับ แม้ชื่อผู้กำกับจะทำให้แอบหวังอยู่นิดหนึ่ง นั่นก็คือ Michael Spierig และ Peter Spierig คู่พี่น้องที่ทำ Predestination และ Daybreakers ออกมาได้แบบน่าจดจำ แต่กระนั้นก็พยายามลดความคาดหวังแบบเต็มที่ครับ เพราะลึกๆ มันสังหรณ์ยังไงก็ไม่รู้… สังหรณ์ว่าสารพัดศิลปะที่ทำให้ Saw เป็นที่จดจำนั้น จะยังคงอยู่หรือไม่
ภาคนี้แพทเทิร์นก็มาตามสูตรของ Saw ล่ะครับ เปิดมาก็ฉายให้เราเห็นถึงคน 5 คนที่โดนกับดักของฆาตกรจิ๊กซอว์ (Tobin Bell) ซึ่งพวกเขาก็ทยอยตายกันไปทีละคน ส่วนคนที่เหลือก็ต้องพยายามแก้โจทย์ เอาตัวรอดออกไปให้ได้จากเกมมรณะสุดโหดนี่
ตัดมาอีกด้านหนึ่ง ก็เป็นการสืบคดีของนักสืบฮัลโลแรน (Callum Keith Rennie) ที่พบคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นหลายรายติดๆ กัน และเงื่อนงำดูเหมือนจะชี้ไปในทางที่ว่า จิ๊กซอว์ได้กลับมาลงมืออีกครั้ง ซึ่งทุกคนก็แปลกใจล่ะครับ เพราะตัวจริงของจิ๊กซอว์นั้นน่าจะตายไปเป็น 10 ปีแล้วแท้ๆ
ในเบื้องต้นก็บอกเลยครับว่า ขนาดลดความคาดหวังลงแล้ว แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าหนังมันสู้ภาคก่อนๆ ไม่ได้ แม้จะดำเนินเรื่อง+ดำเนินมุกตามตำราสูตรสำเร็จของหนังชุดนี้ก็ตาม แต่รสชาติมันยังไม่กลมกล่อม ความขลังมันคนละเรื่องกัน
ผมว่า 7 ภาคแรกแม้ความสนุกจะสาละวันเตี้ยลงเรื่อยๆ แต่บรรยากาศมันยังต่อเนื่อง อารมณ์มันยังอยู่ในโทนเดียวกัน ในขณะที่ภาคนี้แม้จะมีกับดัก มีฉากตายโหดๆ และมีการหักมุมเหมือนเดิมก็ตาม แต่อารมณ์มันไม่ถึงในระดับที่ภาคก่อนๆ เคยทำไว้
อย่างเช่นตอนจบของแต่ละภาคที่มันจะทำให้เราเกิดความรู้สึกบางอย่างได้ทุกที แม้แต่ภาค 7 ที่ดูจะออกทะเลเยอะสุดก็ตาม แต่มันก็ยังโอเคในแง่ของการเชื่อมเรื่องราว ที่จับจุดมาเชื่อมจนเราพอจะกล้อมแกล้มเชื่อไปได้ แต่ภาคนี้ออกทะเลไปไกลเลยครับ
ตัวละครในภาคนี้ก็ไม่น่าจดจำอะไร คาแรคเตอร์ไม่เด่น ไม่เหมือนภาคก่อนๆ ที่อย่างน้อยดาราก็จะหน้าคุ้น หรือไม่ก็จะมีคาแรคเตอร์ให้เราจดจำได้ (จริงๆ ในเรื่องนี้ก็มี Laura Vandervoort แห่ง Smallville มาร่วมจอ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเด่นนัก) สรุปคือกับภาคนี้ทุกคนดูเรื่อยๆ ธรรมดาๆ และผมเชื่อว่าแฟนหนังชุด Saw คงเดาได้ตั้งแต่ตอนต้นๆ แล้วว่าใครคือตัวร้ายตัวจริง
สารภาพเลยครับว่าผมมีแอบสัปหงกด้วย พวกฉากฆ่าโหดๆ จริงๆ ก็ยังมีนะ แต่มันไม่ครีเอทเมื่อเทียบกับภาคที่แล้วๆ รวมถึงกับดักที่ไม่ทำให้เราตื่นตาและลุ้นระทึกสักเท่าไร เพราะจริงๆ กับดักของพี่จิ๊กเนี่ย ไม่มากก็น้อยมันก็ต้องทำให้เราลุ้น มันต้องมีโจทย์ให้เหยื่อต้องแข่งกับเวลา
แต่กับเรื่องนี้บางกับดักเหมือนเป็นของคั่นเวลาน่ะครับ มีไว้เพื่อยืดเรื่องออกไป ให้เวลารวมของหนังมันได้สัก 90 นาที ทั้งที่บางกับดักนี่ได้รับการโฆษณาว่าเป็นกับดักต้นแบบที่จิ๊กซอว์ไม่เคยใช้ที่ไหน แต่เอาเข้าจริงมันก็กลับไม่สามารถทำให้เราลุ้นได้ขนาดนั้น
ย้อนกลับมาที่ศิลปะของหนัง Saw ที่ผมเกริ่นไว้ตอนต้น หากเอาศิลปะที่ว่ามาจาระไนในภาคนี้ ก็ให้รู้สึกครับว่าศิลปะมันขาดหายไปจริงๆ อย่างฉากกับดักหรือการฆ่าก็อย่างที่บอกไปครับว่ามันออกมาธรรมดา ไม่ลุ้น ไม่ทำให้เราตื่นตระหนกได้แบบที่ผ่านมา มันขาดความสดในตัวเองไป
หากมองที่การเล่าเรื่อง ก็รู้สึกครับว่าหนังพยายามจะใช้สูตรเดิม แต่ทว่าภายในมันกลับมีปัญหา เริ่มจากบทมันไม่น่าสนใจพอ การเล่าเรื่องก็เหมือนเล่าไปเรื่อยๆ และยิ่งมามองในแง่ของการเชื่อมเรื่องแล้วก็รู้สึกว่าอันหลังนี่แหละที่กลายเป็นปัญหาขนานใหญ่ของหนังภาคนี้
เอาแค่การเชื่อมเรื่องเฉพาะของในภาคนี้มันก็ไม่กลมกลืนแล้วครับ การวางปม ทิ้งปมมันไม่น่าสนใจ และบางปมก็ทิ้งไว้แบบดื้อๆ ชี้ช่องให้เราเดาได้แบบไม่ยากเลยว่าอะไรเป็นอะไร ซึ่งเอาแค่จุดนี้เสน่ห์ของหนังก็ลดลงไปอย่างเยอะแล้วล่ะครับ
ภาคก่อนๆ การเชื่อม การลวง การหลอกล่อมันทำให้เราสนุกและเพลินไปกับมัน แต่มาภาคนี้การลวงการหลอกมันดูออกง่าย ส่วนเรื่องการเชื่อมกับภาคก่อนๆ ก็ถือว่าออกแนว “พยายามเชื่อม” แต่มันยังเชื่อมไม่ติด มันไม่เนียนพอ ส่วนสำคัญก็เพราะหนังเชื่อมผิดสูตรไปนิดหนึ่ง
หนังหมายมั่นจะเชื่อมตัวเองเข้ากับภาคก่อนผ่านตัวละครอย่างจิ๊กซอว์เป็นหลัก แต่หากมองกันดีๆ แล้วจะพบว่าสิ่งที่ทำให้ Saw เป็น Saw นั้น ไม่ใช่แค่ตัวจิ๊กซอว์ แต่มันคือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไม่ว่าจะเรื่องตัวละครแวดล้อม สถานการณ์แวดล้อม ฯลฯ ว่าง่ายๆ คือถ้าจะเชื่อมให้สำเร็จล่ะก็ แค่เชื่อมกับจิ๊กซอว์มันไม่พอครับ มันต้องเชื่อมกับตัวละครเก่าๆ เหตุการณ์เก่าๆ และคดีเก่าๆ ในภาคที่แล้วๆ ด้วย มันถึงจะเชื่อมได้สนิท มันถึงจะปลุกผีหนังชุดนี้ได้แบบเต็มๆ
แต่ในแง่หนึ่งก็พอเข้าใจน่ะครับ เหมือนหนังจะเป็นกึ่งภาคต่อกึ่งรีบูท เลยพยายามจะเริ่มเรื่องใหม่ โดยตัดรายละเอียดเก่าๆ ออกไป เพื่อจะได้ออกตัวใหม่ในทิศทางใหม่ แต่การทำเช่นนั้นก็เท่ากับเป็นการเอาของดีๆ ที่ภาคก่อนๆ สร้างไว้ไปลอยทะเลน่ะครับ ซึ่งหากเลือกทางนั้น ก็ถือเป็นการเลือกที่น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน
หากมองที่รายได้ หนังก็ไม่ขาดทุนครับ ลงทุนแค่ $10 ล้าน ได้คืนมา $98 ล้านจากทั่วโลก แต่จะทำต่อไหมก็ว่ากันอีกเรื่อง
เอาเป็นว่าหากอยากลองลิ้มก็ได้ครับ เพียงแต่หากเป็นแฟนๆ ก็ต้องทำใจกันสักหน่อย โดยเฉพาะคนที่สนุกกับเส้นเรื่องที่พลิกผันไปมาใน 7 ภาคแรก เพราะภาคนี้เหมือนจะพาตัวเองดีดออกจากเส้นเรื่องเหล่านั้น แต่เป็นความพยายามที่ยังไม่ประสบความสำเร็จสักเท่าไรครับ
สองดาวครับ
(6/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Horror, Mystery, Slasher Movies