
โดยส่วนตัวแล้วผมชื่นชมในพัฒนาการของหนังชุดนี้มากครับ เริ่มจากการเป็นหนังว่าด้วยรถแข่ง เน้นที่ความเร็ว ความแรง แต่พอทำไป 3 ภาคแล้วทีมงานสัมผัสได้ถึงการย่ำอยู่กับที่ ไม่ว่าจะรู้ด้วยตนเองหรือรู้ด้วยตัวเลขรายได้ก็ตาม (เพราะภาค 3 ทำรายได้แค่ครึ่งเดียวของภาค 2) จึงทำให้เกิดการปรับโครงสร้างใหม่ให้กับหนังชุดนี้
วิธีปรับก็คือเอาองค์ประกอบเก่าที่มีดีและเรียกลูกค้าได้ กลับมาจนครบ ตามด้วยการผสมสูตรใหม่ๆ เพิ่มความแน่นของบทและเติมความเร้าใจแบบมีทิศทางลงไป จนในที่สุด Fast & Furious สามารถกลายเป็นจุดเริ่มของ[mใหม่ของหนังชุดนี้
องค์ประกอบเก่าก็คือดาราชุดเดิมที่เล่นได้ลงตัวพอเหมาะไม่ว่าจะ Vin Diesel ในบทโดมินิค จอมซิ่งสุดเก๋าหัวหน้าแก๊งโจรกรรม, Paul Walker เป็นไบรอัน เจ้าหน้าที่เอฟบีไอที่ยังคงไล่ตามจับพวกวายร้าย (ที่มักเป็นพวกรักรถหรือไม่ก็ทำอะไรสักอย่างกับรถ), Jordana Brewster กลับมาในบทมีอา น้องสาวของโดมินิค และ Michelle Rodriguez ในบทเล็ตตี้ คู่ใจท้านรกของโดมินิค แล้วหนังยังพ่วงฮาน (Sung Kang) หนึ่งในตัวละครที่น่าจดจำจากภาค 3 มาร่วมโผล่ในภาคนี้ด้วย (ซึ่งหนังภาค 4 – 6 นั้นคือเหตุการณ์ก่อนภาค 3 ครับ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมฮานถึงกลับมา)
ตรงกับสโลแกนของหนังภาคนี้เลยครับ หนังนำอะไหล่ชั้นดีชิ้นเก่าจากหนังชุดเดิมกลับมาครบ นอกจากดาราแล้วก็ยังมีลีลาการไล่ล่าด้วยรถที่เร้าใจ ท้าตาย และขายความตื่นเต้น ส่วนของใหม่ที่ใส่ลงมาก็คือ “ความเร้าใจแบบมีมิศทาง” นั่นก็คือพล็อตที่มีประเด็นหลักสไตล์แอ็คชันทั่วไปครับ กำหนดให้มีตัวร้ายประจำภาค มีลูกน้องของตัวร้ายที่พวกพระเอกต้องห่ำหั่น อีกทั้งปมความแค้นที่พวกมันทำเอาไว้กับโดมินิค เลยทำให้ภาคนี้ไม่ได้เป็นหนังว่าด้วยโลกของรถแข่งแบบวัยรุ่นอีกต่อไป แต่หนังได้ทำการยกระดับและขยายตลาดผู้ชมให้กว้างขึ้น เพราะภาคก่อนๆ กลุ่มคนดูก็จำกัดลงเรื่อยๆ ครับ มีแค่คอรถกับวัยรุ่นเสียส่วนมาก แต่มาภาคนี้ (และภาคต่อจากนี้) หนังกลายเป็นหนังแอ็คชันคู่หูจับผู้ร้ายเหมือนพวก Lethal Weapon น่ะครับ แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงจุดขายว่าด้วยเรื่องรถและความเร็วเอาไว้ จึงไม่แปลกครับที่ภาคนี้จะทำเงินแซงทุกๆ ภาค เพราะกลุ่มลูกค้ามันใหญ่เบิ้มจริงๆ คนรักรถก็ดู คนรักความเร็วก็ดู คนชอบแอ็กชันหรือหนังไล่ล่าก็ดูได้ นี่ยังไม่รวมคนชอบดาราอีกนะครับ
รสชาติของภาคนี้ก็จัดว่าไม่เลวครับ พอจะพูดได้ว่าสนุกกว่า 3 ภาคก่อน มีอะไรให้ลุ้นมากกว่า เอาแค่ฉากเปิดเรื่องก็ชวนใจหายใจคว่ำแล้วครับ การไล่ล่าในอุโมงค์ก็นับว่าไม่เลว แต่โดยส่วนตัวแล้วยังไม่สุด เพราะการล่าในที่เปิดซึ่งเสี่ยงต่อการไปชนตึก ชนอะไรมันมีของให้ลุ้นมากกว่าครับ ส่วนการไล่ล่าในที่แคบแม้จะเปิดโอกาสโชว์ไหวพริบของคนขับ แต่ถ้าเป็นความลุ้นก็จะเล่นอะไรไม่ได้มากเท่าไร แต่อย่างน้อยตอนจบตอนเจ้าวายร้ายโดนเล่นก็สะใจดีครับ
Justin Lin ผู้กำกับจากภาคก่อนมาทำภาคนี้ต่อครับ ซึ่งงานก็ลงตัวมากขึ้น มันส์และมีทิศทางมากขึ้น แล้วก็ทำให้หนังชุดนี้เติบโตขึ้นจาก 3 ภาคแรก
ออกตัวเลยครับผมว่าผมไม่ได้ชอบหนังชุดนี้มากมายนะครับ ตอนดู 3 ภาคแรกนี่ดูแบบเอามันส์ แต่ไม่ได้ติดใจ ทว่าพอมาภาค 4 นี่แหละที่พูดได้แบบเต็มปากว่าหนังภาคนี้สนุก มีอะไรให้ติดตาม และผมเริ่มจะมาจับตาหนังชุดนี้แบบเป็นเรื่องเป็นราวก็ภาคนี้นี่แหละ
ถือเป็นกรณีที่คนทำหนังน่าเอามาศึกษามากๆ ครับ จากเดิมที่คนมักเชื่อกันว่าหนังภาคต่อมันจะสนุกน้อยลงเรื่อยๆ ไม่มีทางอร่อยขึ้นได้ แต่หนังชุดนี้ได้พิสูจน์แล้วครับว่า การทำให้ภาคต่อสนุกขึ้นๆ นั้นมันเป็นไปได้ ซึ่งทั้งนี้และทั้งนั้นก็อยู่ที่ความตั้งใจของทีมงานนั่นเอง
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)
หมวดหมู่:Action, Crime, Movie Reviews, Thriller










