
ในบรรดาดาราเด็กที่เติบโตมาพร้อมกับ Harry Potter แล้ว นอกจาก Emma Watson ที่ฝีมือเด่นจนเห็นได้ชัด ก็มี Tom Felton นี่แหละครับที่ดูน่าจับตา เอามาเป็นพระเอกหนังได้เลย เพียงแต่อาจต้องสั่งสมบารมีอีกสักนิด หรือไม่ก็รอบทที่โดนแบบเต็มๆ
สำหรับเรื่องนี้ก็ออกแนวดราม่าผสมจิตวิทยาครับ เรื่องของคู่แฝดโอลิเวีย (Troian Bellisario) กับแมตต์ (Felton) ซึ่งเป็นพี่น้องซึ่งใกล้ชิดกันมาก จนถึงขั้นบางทีก็รู้สึกถึงกัน ต่อกันติดด้วยใจอะไรประมาณนั้น
แต่แล้วชีวิตของพวกเขาก็ต้องเจอกับโศกนาฎกรรมครับ เมื่อหนึ่งคนจากไป คนที่เหลือก็ต้องก้าวต่อไป แต่แน่นอนว่าชีวิตของคนๆ นั้นจะไม่มีทางเหมือนเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนที่เหลือยังนึกถึงคนที่จากไปอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
เป็นหนังที่น่าสนใจดีครับ แต่ความสนุกหรือรสชาติอาจไม่ได้เด็ดอะไรมาก รวมถึงความน่าติดตามก็อาจจะไม่ได้เยอะ เพราะมันไม่ใช่หนังทริลเลอร์ที่ปกติมักจะมีคนชอบทำกันออกมา ประมาณว่าทำให้มันออกแนวหลอนๆ น่ากลัวๆ กึ่งลึกลับกึ่งผีสางเหนือธรรมชาติ
แต่เรื่องนี้เน้นที่ดราม่าครับ หรือหากใครจะมองว่าเป็นหนังเหนือธรรมชาติก็อาจจะได้เหมือนกัน แต่เอาเป็นว่าประเด็นหลักๆ แล้ว มันคือการเล่าสภาพจิตใจของเด็กคู่แฝดที่ต้องมาพรากจากแฝดของตนไป
จุดที่โอเคของหนังผมยกให้การแสดงดีๆ ของ Bellisario กับ Felton ที่รับส่งกันได้แบบพอเหมาะ ต่างคนต่างมีโมเมนต์ของตนเอง แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครแย่งความเด่นใคร ทั้งคู่สามารถครองพื้นที่บนจอได้ไม่น้อยไปกว่ากัน
แต่จุดอ่อนคือ หนังไม่มีปมให้ติดตามเท่าไรครับ คือพอดูไปสักพักเราก็จะเข้าใจสถานการณ์ แต่มันไม่ได้มีปมทิ้งให้เราอยากตามดูต่อ มันกลายเป็นหนังเรื่อยๆ ที่ดูได้เรื่อยๆ ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้มีพลังของเนื้อหาที่จะดึงเราให้อยากดูหรืออยากรู้ไปจนจบ (เพราะหนังแนวนี้ชอบ “จบไม่จบ” อยู่แล้ว)
แต่มันก็สะท้อนจิตใจคนที่สูญเสียได้ดีครับ มันทำให้เราตระหนักว่าเวลามีสักคนที่มีคนใกล้ชิดมากๆ (แบบมากๆ ของมากๆ) แล้วใครคนนั้นหายจากชีัวิต เราก็ย่อมสับสน ชีวิตเราอาจจะเป๋หรือไปไม่เป็นเลยทีเดียว
มันก็ขึ้นกับเราน่ะครับ ว่าเราจะหาทางเดินต่อไปอย่างไร เราจะพยายามโต้คลื่นชีวิตที่ถาโถมเข้ามา โต้ลมโต้ฟ้าหาทางลอยลำขึ้นไปให้ได้ หรือเราจะยอมจมดิ่งไปกับมัน ยอมโดนอดีตดึงรั้งเอาไว้ไม่ให้ไปไหน
ผมชอบที่หนังสะท้อนความเปราะบางของมนุษย์ โดยเฉพาะความเปราะบางที่เนื่องมาจากความคิด ซึ่งเราต้องยอมรับครับว่า “ความคิด” เป็นสิ่งที่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ มันไม่มีตัวตนชัดๆ แต่มันสามารถบันดาลให้เกิดผลลัพธ์ออกมาในโลกจริงๆ ไม่ว่าจะในรูปของสถานการณ์ สิ่งของ หรือเหตุการณ์
ความคิดทำให้คนเกิดพลังก็ได้ หรือความคิดจะทำให้คนไม่อยากมีชีวิตอยู่ก็ได้ ซึ่งบางทีการจะเข้าใจความคิดของเราเองอาจต้องใช้เวลามากโข แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ถึงเราจะไม่รู้แจ้งแทงตลอดเกี่ยวกับความคิดของเราก็เถอะ แต่อย่างน้อยถ้าเรารู้เท่าทัน รู้ว่ามันส่งผลอย่างไร รู้ว่ามันทำงานอย่างไร หรือรู้ว่ามันกุมบังเหียนชีวิตเราได้ขนาดไหน มันก็ย่อมดีกว่าที่เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย
การดูหนังเรื่องนี้ทำให้ผมทบทวนเกี่ยวกับ “ความคิด” มากขึ้น แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับผม แต่มันก็เป็นเรื่องที่ผมบอกตัวเองเสมอว่า “เราต้องหมั่นเช็ค หมั่นตรวจสอบอยู่เรื่อยๆ” เพราะเมื่อมองย้อนไปก็พบว่า ที่เรามาถึงจุดนี้ได้ ที่เราเคยได้กับเรื่อวราวต่างๆ (ทั้งดีและไม่ดี) มันก็มีความคิดเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อเรานั่นแหละ
โดยรวมแล้วหนังเรื่องนี้ มีดีที่ฝีมือดารานำ กับประเด็นที่แม้จะไม่ใหม่ แต่ก็สามารถดูเพื่อเอามากระตุ้นตรวจสอบอะไรบางอย่างในตัวเราได้ – แต่ถ้าคาดหวังความสนุกแล้ว หนังก็อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์นั้นเท่าที่ควรครับ
สองดาวครับ

(6/10)
หมวดหมู่:Drama, Movie Reviews










