
ยังจำกันได้ไหมครับ Honey, I Shrunk the Kids หนังสนุกสำหรับทุกคนในครอบครัวจากค่าย Walt Disney เรื่องนี้ เรื่องโปรดของผมเลยล่ะครับสมัยเด็กๆ น่ะ ตอนเข้าโรงก็คะยั้นคะยอให้พ่อแม่พาไปดู ก็เรื่องมันน่าสนุกนี่ครับ เด็กๆ 4 คนโดนย่อส่วนแล้วก็ผจญภัยที่หลังบ้าน
พอโตขึ้น… ผมว่าหนังก็ยังสนุกนะ เป็นอะไรที่แปลกใหม่มาจนถึงทุกวันนี้ด้วย มีที่ไหนล่ะครับ เด็กๆ ต้องมาผจญภัยในสนามหญ้าหลังบ้านของตัวเอง ผมล่ะชื่นชมคนคิดบทเลยครับ สนามหญ้าที่เราเหยียบอยู่ทุกวันๆ คนเขียนบทเขายังเอามาทำให้เกิดเรื่องสนุกๆ น่าติดตามได้ แล้วพอผมทราบชื่อคนเขียนบทก็อึ้งนิดๆ ครับ แต่เป็นใครไว้จะเฉลยตอนท้ายแล้วกัน
หนังก็ว่าด้วยนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง เวนย์ ซาลินสกี้ (Rick Moranis) ที่กำลังง่วนประดิษฐ์เครื่องย่อส่วน ซึ่งหากเขาทำได้ล่ะเงินทองเตรียมไหลมาเทมา ซ้ำยังเป็นนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่สุดๆ แต่พี่แกทำกี่ทีทดลองกี่รอบเครื่องนี้ก็ไม่ได้ผลดีขึ้นมาเลย จนร่ำๆ ว่าจะเลิกทดลอง แต่พอดีวันก่อนพี่แกจะเลิก ลูกๆ สองคนได้แก่ เอมี่ (Amy O’Neill) กับ นิก (Robert Oliveri) แล้วก็ลูกคนข้างบ้านอีกสองที่ชื่อ รัส (Thomas Wilson Brown) กับ รอน (Jared Rushton) ดันเข้ามาในห้องแล้วก็โดนเครื่องย่อส่วนยิงใส่โดยไม่รู้ตัว ทำให้เด็กๆ 4 คนตัวจิ๋วเหลือแค่ไม่กี่มิลลิเมตร… เอาล่ะสิครับ
ตอนแรกเด็กๆ ก็พยายามจะบอกพ่อ แต่ตัวเล็กแค่นี้บอกไปก็ไม่ได้ยินอยู่แล้ว ซ้ำคุณพ่อยังโกรธจัดที่ทดลองกี่ทีก็ไม่ได้ผล เลยพังเครื่องทิ้งซะเลย ซ้ำยังกวาดทุกอย่างในห้อง (แน่นอนว่าพวกเด็กๆ ก็โดนกวาดไปด้วย) เอาไปโยนทิ้งหลังบ้าน… เอาล่ะสิ.. อีกรอบ…
พวกเด็กๆ เลยต้องหาทางเดินกลับมาบ้านและหาทางบอกพ่อว่าพ่อทำสำเร็จจะได้หาทางขยายตัวพวกเขาให้ใหญ่ดังเดิม… แต่การจะกลับมาหาพ่อนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ เพราะเขาต้องเดินผ่านสนามหญ้าหลังบ้าน… ถ้าเป็นตอนเราตัวปกติ เดินไม่กี่ก้าวก็ถึง แต่พวกเขากลายเป็นตัวจิ๋วแบบนี้ก็หลายวันล่ะครับ อีกอย่างก็คือไม่มีทางรู้เลยว่าทางไหนเป็นทางไหน มีแต่หญ้ากับหญ้าเหมือนหลงป่าขนาดยักษ์ แล้วที่ร้ายกว่านั้นคือ… มันมีตัวอะไรอยู่ในสนามหลังบ้านของพวกเขาบ้างล่ะเนี่ย… เอาล่ะสิ… รอบที่สาม
สนุกน่ะครับ บอกได้ตรงนี้เลยว่าสนุกมาก เป็นหนังผจญภัยสำหรับเด็กที่ทำออกมาตื่นเต้น น่าติดตามตลอด 93 นาที ยาวแบบพอดีๆ ครับ หนังเลยเพลินตลอด สิ่งแรกที่ประทับใจและติดตาผู้ชมคือ Special Effects ที่ทำออกมาได้ดีมาก ตั้งแต่เครื่องย่อส่วน ลำแสงทั้งหลาย ไปจนถึงการออกแบบฉากสนามหลังบ้านที่กลายเป็นป่ายักษ์ของเด็กๆ ดูสมจริงมากๆ ครับ พวกใบหญ้า ดินโคลน แม้แต่พวกสัตว์ตัวจ้อยที่อยู่แถบนั้นก็ทำออกมาได้น่าตื่นตาอย่างยิ่ง แล้วก็นับว่าน่าทึ่งมาก เพราะดูปีที่ผลิตสิครับ นับไปนับมาก็ 30 กว่าปีแล้วนะเนี่ย แต่ดูแล้วยังสนุกร่วมสมัยอยู่ (แบบนี้เขาเรียกใหม่สดเสมอ) ของเขาดีจริงๆ น่ะครับ
เนื้อเรื่องก็สนุก ผจญภัยไปเรื่อยๆ มีเรื่องมาให้เด็กๆ ต้องผจญตลอด ทั้งแมลง เครื่องตัดหญ้า บ่อโคลนเล็กๆ ทีกลายเป็นเหมือนลำธารสำหรับพวกเขา ไหนจะเครื่องรดน้ำต้นไม้อีก แหม ลุ้นกันได้ตลอดสิเอ้า

ดาราก็เลือกมาเหมาะครับ บทเวนย์นั้นตอนแรกเขาจะให้ Chevy Chase มาแสดงแต่รายแรกก็บอกปัด เลยไปติดต่อ John Candy ดาราร่างอ้วนผู้ล่วงลับมา แต่เขาก็ปฏฺเสธเหมือนกัน ทว่าดีหน่อยที่ปฏิเสธก็ไม่ได้ปฏิเสธเปล่าๆ ยังอุตส่าห์แนะนำดาราที่เขาเห็นว่าเหมาะจะมาแสดง ได้แก่ Moranis แห่ง Little Shop of Horrors ฉบับภาพยนตร์เพลงนั่นเอง ซึ่งเขาก็เหมาะจริงๆ แหละครับ ดูเป็นพ่อที่น่ารัก และเป็นคนฉลาดพอตัว ขณะเดียวกันก็เป็นคนที่อ่อนไหวกำลังใจหายได้ง่ายๆ เหมือนกัน อย่างฉากที่พี่แกเม้งแตกทุกเครื่องย่อส่วนซะไม่เหลือซากนั่น เล่นได้สมจริงดีครับ
Marcia Strassman มาเป็นภรรยาของเวนย์ คุณเธอก็ทำท่าช็อกผลงานของสามีได้ขำดีครับ, Matt Frewer กับ Kristine Sutherland มารับบทเป็นพ่อแม่ตระกูลทอมพ์สัน ที่อยู่ข้างบ้านของเวนย์แล้วก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าลูกๆ ของตัวเองโดนย่อส่วน สองคนนี้ก็เพิ่มรสชาติให้หนังได้เยอะดีครับ แล้วที่ผมชอบมากๆ คือทุกคนแสดงเป็นพ่อแม่ที่รักลูกได้ดี ดูแล้วเชื่อว่าเป็นห่วงลูก คิดถึงลูกจริงๆ แบบนี้แหละครับทำให้หนังครบรส มีทั้งตลก ทั้งความสัมพันธ์ในครอบครัว ครบถ้วนดีจริงๆ
ส่วนพวกเด็กๆ ก็เล่นได้ดีครับ โดยเฉพาะ Rushton ที่แสดงเป็นนายตัวแสบชอบทำตัวหัวหมอแล้วก็ทะเลาะกับชาวบ้านตลอดเวลา เป็นสไตล์ของเด็กเกเรทั่วไปน่ะครับ แต่กระนั้นเขาก็ยังมีความดี รู้อะไรถูกอะไรผิดเหมือนกัน เด็กทุกคนก็ทำให้คนดูอยากเอาใจช่วยให้พวกเขารอดไปจากเหตุครั้งนี้ได้ก็ถือว่าทำหน่าที่ได้ดีน่าชมล่ะครับ
หนังกำกับโดย Joe Johnston ซึ่งเป็นการกำกับครั้งแรกในชีวิตของเขาเลยนะครับ ทำออกมาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าดีเลยล่ะครับ คุมหนังได้ต่อเนื่อง สนุกน่าดู สำหรับผมนายคนนี้เป็นคนทำหนังได้สนุกไม่เลวนะครับ งานแต่ละเรื่องก็ออกมาถือว่าโอเค อย่าง The Rocketeer, Jumanji, Jurassic Park III (แม้หลายคนจะไม่ชอบ แต่ผมว่าก็โอเคนะ) และ Captain America: The First Avenger
ส่วนคนเขียนบท เขามีนามว่า Stuart Gordon และ Brian Yuzna คุ้นไหมครับ… ก็ใครซะอีกล่ะ คนทำ Re-Animator คนเปลี่ยนหัวคน นั่นยังไง แล้วก็หนังสยองอีกโหลกว่า แล้วเขาก็มาร่วมเขียนบทกับใครทราบไหมครับ… กับ Ed Naha ที่ผ่านผลงานอย่าง Troll, Dolls แต่ละเรื่องก็มีปีศาจมีไล่ฆ่าคนทั้งนั้นน่ะ ซึ่งแรกๆ ทั้งหมดก็มีความคิดเหมือนกันว่าจะให้เป็นหนังแนวสยองตื่นเต้น แต่ไปๆ มาๆ ก็หักเหทำเป็นหนังผจญภัยสำหรับทุกคนในครอบครัวดีกว่า แล้วก็มีการส่งต่อบทมาถึง Tom Schulman แห่ง Dead Poets Society ถือว่าคิดถูกล่ะครับ เพราะหนังออกมาดี สนุกและแปลกใหม่ไหนจะทำเงินทำทอง โกยพุงกางไป $130 ล้านในอเมริกา หากรวมทั่วโลกก็ได้ไป $222 ล้าน(จากทุนสร้างประมาณ $18 ล้าน) ทำให้เกิดตอนต่อออกมาอีกต่างหาก แต่ก็ไม่มีตอนไหนเด็ดเท่าตอนแรกแล้วล่ะ
เกร็ดเล็กๆ ที่อยากบอกเอาไว้ก็คือในบทดั้งเดิมนั้นเด็กๆ ที่ถูกย่อส่วนแล้วไปผจญภัยที่หลังบ้านนั้นจะต้องมี 5 คนครับ แล้วบทจะกำหนดให้มีเด็ก 1 คนตายไปในฉากที่เครื่องรดน้ำทำงาน แต่สุดท้ายส่วนนี้ก็ถูกเปลี่ยน กลายเป็นเหลือเด็ก 4 คนและไม่มีใครต้องตายครับ
ดูเอาสนุกได้ ดูให้ชวนคิดก็ได้นะครับ ให้เราคิดถึงว่าจริงๆ แล้วเราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ดังนั้นหากเราอยู่กันได้โดยไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิตอื่นๆ หรือไม่ก็เบียดเบียนเพื่อร่วมโลกให้น้อยที่สุด หากทำได้ก็น่าจะดี และจริงๆ เราควรร่วมมือกัน สร้างอะไรดีๆ ให้โลกนี้น่าอยู่ต่อไป อย่างในหนังที่พวกเด็กๆ ได้ผูกมิตรกับมดตัวน้อย ถือเป็นจุดที่น่าประทับใจไม่น้อยทีเดียว
หนังก็เข้าอีหรอบเด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี สนุกตื่นเต้น ดูคลายเครียดก็ได้ ดูเอาสนุกผจญภัยก็มีครับ หนังแบบนี้ Walt Disney สมัยโน้นไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ
สองดาวครึ่ง สนุกๆ ครับ

(7/10)

หมวดหมู่:Adventure, Comedy, Family, Movie Reviews, Recommended Movies, Sci-Fi










