หลังจากภาคก่อน เนื้อหาไม่เกี่ยวกัน เลยเจ๊งไปนะครับ และหนังชุด Halloween ก็หยุดสร้างไป 6 ปี จนกระทั่งมีการปลุกผีหนังชุดนี้อีกเนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปี ของหนัง
ภาคนี้ทีมงานเลยย้อนมาจับเอาเรื่องของพี่ไมเคิล ไมเยอร์ส โดยที่คราวนี้ พี่ไมเคิลแกกลับมาแฮดดอนฟิลด์ อิลลินอยส์อีกหน เพื่อตามล่า เจมี่ ลอยด์ (Danielle Harris) ลูกสาวของลอรี่ สโตรด (ที่หนังกำหนดให้เธอประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปแล้ว) ก็อย่างที่ทราบครับว่าพี่ไมเคิลแกโรคจิต เป้าหมายพี่เขาคือ กำจัดคนในตระกูลนี้ให้หมด ก็ตามใจแกแล้วกันครับ
แต่งานนี้พี่ไมเคิลก็ไม่ได้ทำโดยสะดวกหรอกนะครับ เพราะ ดร.แซม ลูมิส (Donald Pleasence) จิตแพทย์ที่คอยตามหยุดยั้งเกมโหดนี้ได้ตามมาต่อกรกับพี่ไมเคิลด้วย ก็มาดูกันครับว่าเรื่องราวจะจบลงอย่างไร เจมี่จะรอดหรือไม่ และศพในคราวนี้จะมากขึ้นแค่ไหน
หนังพยายามกลับไปสู่ความสยองแบบ 2 ภาคแรก ก็นับว่าพอไหวครับ บรรยากาศโอเค มืดๆ ดี ฉากตอนเจมี่เดินเพียงลำพังในเมืองที่เงียบสงัดนั้นก็ไม่เลวครับ แต่ก็ดูเป็นหนังสยองทุนต่ำทั่วๆ ไป ที่ไม่มีอะไรโดดเด่นนัก เหมาะสำหรับคนขวัญอ่อนน่ะครับที่อยากดูหนังที่ไม่น่ากลัวเกินไป สำหรับคนขวัญแข็ง อยากลองของก็ไม่ว่ากัน ชั้นเชิงยังสู้ 2 ภาคแรกไม่ค่อยได้ เพราะหนังมันเข้าสูตรสำเร็จทั่วไป ตั้งแต่การไล่ฆ่า ตัวละครที่ไร้ทางสู้ ฉากวับๆ แวมๆ ครบสูตรหนังแนวนี้จริงๆ ครับ ทำให้หนังมันเดาได้หมดไม่ยากเย็น ไม่เหมือนสองตอนแรกที่อารมณ์หนังยังสดกว่านี้เยอะ
อีกอย่างตอนนี้พี่ไมเคิลแกก็กลายเป็นตัวบ้าอะไรไปแล้วก็ไม่ทราบครับ เล่นสูตรอมตะมารึไงก็ไม่รู้ ภาคก่อนๆ ผมว่าหนังมันฉลาดตรงที่พี่ไมเคิลแกยังดูเป็นคนน่ะ และพี่แกก็ไม่เผชิญหน้าให้ใครทำร้ายตรงๆ ด้วย เลยไม่ตะขิดตะขวงใจ แล้วยังทำให้เขาดูน่ากลัวด้วย เพราะมันเหมือนกับว่าในหัวของไมเคิลแม้จะโรคจิต แต่ก็มีการวางแผนต่างๆ เอาไว้แล้ว
แต่กับตอนนี้พี่แกเดินร่อนไปทั่วครับ ไม่กลัวกระสุน ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ไม่มีใครทำอะไรเขาได้ แม้มันอาจจะน่ากลัวขึ้น แต่ความสนุกความลุ้นก็แทบไม่มีครับ เพราะไม่รู้จะลุ้นอะไรอ้ะ ยังไงก็ไม่มีทางยับยั่งพี่ไมเคิลได้อยู่แล้ว เจอมีแต่ตายกับตาย
เอาเถอะยังไงหนังก็ดูเอาสยองนี่เน้อะ เหตุผลไม่ต้องไปคิดก็ได้ ซึ่งเท่าที่ดูแล้วหนังก็เรื่อยๆ ครับ สยองพอตัว ฉากฆ่าก็โหดอยู่เหมือนกัน และตอนจบก็ยังสั่นประสาทได้ไม่เลวด้วย อันนี้ผู้กำกับ Dwight H. Little ก็ทำหน้าที่ได้ไม่เลวครับ ซึ่งรายนี้ชอบเป็นแบบเนี้ย คือทำหนังออกมาไม่เลวครับ แต่ก็ยังไม่สุด เหมือนยังพร่องตรงนั้นขาดตรงนี้อยู่บ่อยๆ อย่างพวก Marked for Death, Rapid Fire, Free Willy 2: The Adventure Home หรือล่าสุดก็ Anacondas: The Hunt for the Blood Orchid ที่พอดูได้ แต่ก็ยังไม่สนุกเต็มที่อีกนั่นแหละ เป็นผู้กำกับประเภทเกือบๆ ครับ
เอาเป็นว่าคนชอบหนังไล่ฆ่าก็ไม่น่าจะผิดหวังล่ะ อย่างน้อยก็น่าจะทำให้สาวๆ ข้างคุณกลัวได้บ้างล่ะน่าเวลาดูน่ะ
ประมาณสองดาวครับ
(6/10)
++ ด้านล่างนี้คือรีวิวเพิ่มเติมที่ผมเขียนไว้ลงใน Movie Time ครับ ++
ลองว่า ไมเคิล ไมเยอร์ส ฆาตกรโรคจิตแห่งคืนฮาโลวีนมีชื่อก้องโลกขนาดนี้แล้ว ผู้สร้างคงไม่ปล่อยให้พี่แกไปสู่สุคติง่ายๆ หรอก ต้องมีการปลุกมาช่วยกันทำมาหากินหน่อย ภาค 4 ของหนังชุดนี้เลยเกิดขึ้นจนได้
หลังจาก Halloween III: Season of the Witch (1982) ล้มระเนระนาดจนทีมผู้สร้างแตกฮือไปทำโปรเจคท์อื่นอยู่นาน พอถึงปี 1986 Cannon Films ค่ายหนังอิสระที่กำลังสร้างชื่อและเพิ่งประสบความสำเร็จไปพอประมาณจากการซื้อสิทธิ์หนังสิงหาสับมาทำตอนต่ออย่าง The Texas Chainsaw Massacre 2 (1986) ก็ติดต่อมายัง John Carpenter เพื่อขอสิทธิ์ Halloween ไปทำ แต่ไม่ใช่ทำหนังเชือดแบบเดิมๆ พวกเขาตั้งใจจะสร้าง Michael Myers vs. Leatherface! ใช่ครับ อ่านไม่ผิดหรอก ทาง Cannon วางเรื่องให้สองฆาตกรโรคจิตจากสองหนังสยองขวัญมาเจอกัน ตีกัน พอฟังไอเดียเท่านั้นล่ะครับ Carpenter รีบไม่ตกลงทันที (ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นแหละ)
จากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เขาตระหนักได้ว่าหนัง Halloween ยังเป็นที่สนใจอยู่ ประกอบกับ Moustapha Akkad ผู้อำนวยการสร้างเจ้าเก่าติดต่อมา ว่าอยากคืนชีพให้หนังชุดนี้อีกสักที พอเห็นตรงกัน Carpenter ก็ปั่นบทแบบไม่รอช้า โดยสร้างเรื่องแนวใหม่ แทนที่จะให้ไมเคิลมาไล่เชือดคน เขาตัดสินใจเขียนบทในแนวจิตวิทยาระทึกขวัญ เหตุการณ์หลังจากไมเคิลโดนระเบิดถล่มไปในตอนจบของภาค 2 แต่ชาวเมืองแฮดดอนฟิลด์ก็ยังตกอยู่ในสภาวะหลอนทุกครั้งที่คืนฮาโลวีนมาถึง ทุกคนหวาดผวาว่าไมเคิลจะกลับมาอีกหรือไม่ หลอนไปหลอนมาก็มีคนหลอนจนเป็นบ้าน่ะครับ เริ่มไม่ไว้ใจกัน แล้วเห็นอะไรนิดหน่อยก็หลอนว่าเป็นไมเคิล เมืองเลยเกิดเรื่องวุ่น อีกทั้งยังจะผูกเรื่องให้ไมเคิลกลับมาในฐานะผีอีกต่างหาก เรียกว่าหลอนแบบผสมผสานกันไปเลย
Carpenter เห็นว่าแบบนี้ดีแน่ ทั้งใหม่และน่ากลัว เลยยื่นเสนอไป แต่ Akkad รีบส่ายหน้าทันใด ก่อนจะบอกว่าไม่เอาบทนี้! เพราะมัน “ซับซ้อนเกินไป” เขาอยากได้หนังสยองง่ายๆ ที่คนดูเข้าถึง มีแทงมีเชือดตามประสาก็พอ เมื่อตกลงกันไม่ได้ Carpenter ก็โบกมืออำลา ซึ่ง Akkad ก็ไม่สนครับ รีบหาคนอื่นมาเขียนบทเพราะช่วงนั้นเหล่านักเขียนบทกำลังจะสไตรค์เพื่อเรียกค่าแรงเพิ่มอยู่พอดี Akkad เลยรีบๆ จ้างนักเขียนหน้าใหม่ Alan B. McElroy มาสร้างบทแบบง่ายๆ จะได้เริ่มถ่ายทำซะที ซึ่ง McElroy ก็น่ารักมากครับ เขียนเสร็จใน 11 วัน
เรื่องราวก็ออกมาง่ายสมใจ เหตุเกิดหลังจากภาคแรก 10 ปี พี่ไมเคิลรอดจากการระเบิดครับ แล้วก็มาตามล่าเจมี่ ลอยด์ (Danielle Harris) ลูกสาวของลอรี่ สโตรด ที่บทกำหนดให้เธอเสียชีวิตไปในอุบัติเหตุทางรถยนต์ (แต่จริงๆ เพราะ Jamie Lee Curtis เธอไม่มาเล่นต่างหาก) แน่นอนครับ ไมเคิลก็กลับมาฆ่าคนตามรายทาง ก่อนจะเก็บเจมี่เป็นคนสุดท้าย แต่โชคดีที่ ดร.แซม ลูมิส (Donald Pleasence) จิตแพทย์ที่รู้ถึงความโหดของไมเคิลได้กลับมาเพื่อกำจัดเจ้าฆาตกรโหดนี้อีกครั้งเช่นกัน เอาล่ะครับ งานนี้หมอลูมิสจะเล่นไมเคิลให้จมธรณีได้หรือไม่!
กำกับโดย Dwight H. Little ที่ยังไม่มีงานแจ้งเกิด นอกจากเคยทำ Freddy’s Nightmares ซีรี่ส์ฉบับทีวีของพี่เฟรดดี้ ครูเกอร์ ว่ากันว่าฉบับที่ Little ทำออกมานั้นไม่สยองเท่าไร Akkad เลยไปตาม John Carl Buechler เจ้าพ่อเอฟเฟคท์หนังสยองขวัญมาเติมเลือดและศพลงไปเยอะๆ จนหนังออกมาอุดมโลหิตอย่างที่เห็น
คำวิจารณ์ออกมาก้ำกึ่งครับ คนที่ชมก็บอกว่าหนังตามรอยภาคแรกได้ไม่เลว แต่ยังสู้ต้นฉบับไม่ได้ในเรื่องมุมกล้องและการวางช็อต ส่วนคนที่บ่นก็บอกว่าหนังทิ้งสไตล์ Halloween แบบเดิมที่ไมเคิลฆ่าคนแบบมีเป้าหมาย ทำอะไรก็มีการวางแผนก่อนลงมือทำ กลายเป็นหนังเชือดฆ่าคนไม่จำกัดแบบ Friday the 13th ไปซะแล้ว
แต่ผู้สร้างไม่สนคำชมครับ สนเม็ดเงินมากกว่า ลงทุนไป $5 ล้าน ได้คืนมา $17.7 ล้าน ก็ถือว่าพอใช้ ไหนจะได้เงินตอนลงวีดีโออีกก็เรียกว่าประสบความสำเร็จดีล่ะครับ … แบบนี้จะไม่ให้ทำตอนต่อได้เยี่ยงไร
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Horror, Slasher Movies