รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

Christmas with the Kranks (2004) ครอบครัวอลวน คริสต์มาสอลเวง

christmas-with-the-kranks.10555

ครับ ผมเพิ่งมานึกออกว่านี่มันจะคริสต์มาสแล้ว และผมกะเอาไว้ว่าจะเอาหนังที่มันเกี่ยวกับวันนี้มาพูดถึง กะไว้นานตั้งแต่ปีก่อนแล้วครับ และผลก็คือผมดันลืม พอมาปีนี้ก็เกือบลืมไปอีกแล้วล่ะเนี่ย ดีนะที่พอจะคิดออกนาทีเกือบสุดท้ายแล้ว (มันจะผ่านไปอยู่แล้วเนี่ย วันคริสต์มาส)

อืมม์ คือไม่ใช่ว่าจะหัวนอกหรืออะไรหรอกนะครับที่เอาเทศกาลวันคริสต์มาสมาพูดถึง แต่เป็นความประทับใจโดยส่วนตัว ที่ประทับใจก็หนีไม่พ้นเพราะหนังนี่แหละครับ ภาพยนตร์มากมายเหลือเกินที่สร้างออกมาโดยมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับวันคริสต์มาส แล้วส่วนมากไม่ว่าจะดีหรือแย่แค่ไหน มันก็ต้องมีสาระๆ ดีติดปลายนวม แล้วสาระส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นเรื่องครอบครัว ความรัก ความเข้าใจ และความอบอุ่น เพราะวันคริสต์มาสนี่มันมีความหมายมากทีเดียวสำหรับครอบครัวของเมืองนอกเขา นี่ผมจะไม่ได้พูดถึงตำนานหรือกำเนิดของวันนี้หรอกนะครับ ผมพูดเฉพาะที่ผมเห็น นั่นคือมันเป็นวันที่ครอบครัวจะได้พร้อมหน้ากัน คือแม้ญาติมิตรจะห่างเหินกันไป อยู่ต่างรัฐยังไงก็ตาม แต่พอถึงวันคริสต์มาส พวกเขาก็จะคิดถึงครอบครัว หรือไม่ก็เดินทางมาพบปะกัน สังสรรค์ยามค่ำ หรือไม่ก็ไปเที่ยวกัน ร่วมรับประทานอาหารกันอะไรแบบนั้น ซึ่งผมว่ามันมีความหมายนะ เป็นภาพที่น่ารักดีน่ะแหละครับ

แล้วหนังว่าด้วยความประทับใจในวันคริสต์มาสก็มีมากมายครับ ไว้จะทยอยเล่ากันไปเรื่อยๆ แล้วกัน แล้วก็ค่อยทำเป็นหน้าพิเศษรวมไว้อีกที ดูเป็นเซ็ทอ่านกันเป็นชุดเลยแล้วกัน

แต่กับหนังเรื่องที่ผมกำลังจะกล่าวนี้ ถ้าให้ว่าตามความจริงก็คงต้องบอกโดยสรุปถ้วนๆ ว่าไม่ได้ดีเด่นเด็ดดวงอะไรนัก พาลจะธรรมดาด้วยซ้ำไปครับ แต่ก็ขอเอามาแนะนำเป็นเรื่องแรกแล้วกัน

เพราะอย่างที่บอกน่ะแหละ แม้มันจะไม่ดี แต่ก็มีอะไรดีๆ ให้พูดถึงอยู่

หนังสร้างจากนิยายของ John Grisham นะครับ อ้า ใช่ ท่านฟังไม่ผิดหรอก ท่านพี่จอมเขียนนิยายแนวกฎหมายขึ้นศาลนั่นแหละ เขาก็เคยเขียนแนวอื่นนะครับ อย่างเรื่องนี้ชื่อนิยายของเขาคือ Skipping Christmas ซึ่งเนื้อเรื่องค่อนข้างตรงกับชื่อเลยล่ะครับ

ตัวเอกของหนังเรื่องนี้ก็คือ ครอบครัวแครง อันประกอบไปด้วยคุณพ่อนามว่าลูเธอร์ (Tim Allen) คุณแม่นามว่า นอร่า (Jamie Lee Curtis) และลูกสาวคนสวยที่ชื่อ แบลร์ (Julie Gonzalo) ซึ่งครอบครัวแครงนี้นะครับเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวบ้านย่านนั้น เพราะพวกเขาขึ้นชื่อมากในการจัดงานคริสต์มาสได้อย่างวิเศษสุด ก็เรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์ของปีสำหรับเพ่อนบ้านเลยล่ะครับ

แต่แล้วปีนี้ครับ ปีนี้ดันมามีเหตุ เพราะแบลร์ลูกสาวของพวกเขาต้องจากบ้านไปเรียนต่อ ทำให้บ้านแครงก็เหลือกันอยู่แค่สองคนผัวเมีย พวกเขาทั้งคู่เลยเห็นว่า ไหนๆ ลูกสาวก้ไม่อยู่ ทำไมไม่ถือโอกาสไปเที่ยวต่างเมืองให้มันสบายใจซะเลยล่ะ ซึ่งทั้งคู่ก็คิดจริงและทำจริงด้วยครับ เตรียมไปเที่ยวเต็มที่ แต่พอเพื่อนบ้านที่นำโดย วิค ฟรอมเมเยอร์ (Dan Aykroyd) รู้ข่าวเท่านั้นแหละ ก็เป็นเรื่องล่ะครับ แต่ละคนก็มากดดันให้บ้านแครงต้องจัดงาน ไม่งั้นคริสต์มาสปีนี้ได้เซ็งแน่นอน

แต่จนแล้วจนรอด ลูเธอร์กับนอร่า แครงก็ยืนกรานครับ ไม่จัดล่ะงาน จะเที่ยวอ้ะ ซื้อตั๋วไว้แล้วด้วย ทว่าทั้งสองก็เพิ่งรู้ข่าวจากลูกสาวว่าเธอกำลังจะกลับมาเซอร์ไพร์สพ่อแม่ ทำให้งานนี้มีการกลับลำครับ จากเดิมไม่จัดงานก็กลายปเนว่าต้องยกเลิกทุกอย่างแล้วมาจัดงานอย่างเดิม เพื่อต้อนรับการกลับมาเยี่ยมบ้านของลูกสาว เฮ่อๆ มีกลับไปกลับมาแบบนี้ แล้วเรื่องมันจะวุ่นอีกแค่ไหนนะเนี่ย

เนื้อเรื่องก็ประมาณนั้นนะครับ ผมก็เล่าค่อนข้างละเอียดนะ แต่ก็ไม่มีปัญหาครับ เพราะในเรื่องเนื้อหามันไม่ได้มีอะไรซับซ้อนหักมุมอยู่แล้ว เล่าหมดก็เพื่อให้รู้กันว่าท่านสนใจหนังเรื่องนี้หรือเปล่านะครับ เพราะถ้าตัดสินจากเนื้อเรื่องมันก็ไม่เลวนี่เน้อะ ท่าจะฮาแบบวุ่นๆ ดี … แต่ข้างในเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เอ้า มานั่งฟังครับ ผมจะกล่าวบทไปแล้วล่ะนะ

ผมขอแบ่งหนังออกเป็นสองช่วง คือ ครึ่งแรกกับครึ่งหลังครับ เพราะความดีมันแตกต่างกัน มาว่ากันที่ครึ่งแรกนะครับ หนังก็จะเล่นกับมุขความวุ่นวายของครอบครัวแครงที่วางแผนจะหนีไปเที่ยว แล้วก็ต้องคอยมาหลบหน้าเพื่อนบ้าน เพราะเพื่อนบ้านต้องขวางไม่ให้ไปเที่ยวแน่ๆ คืออันนี้ต้องอย่าคิดมากครับ ลองว่ามันเป็นหนังก็ทำให้เว่อร์เอาไว้ก่อน คนปกติเขาไม่บ้าขนาดมายุ่งมาห้ามไม่ให้เพื่อนบ้านไปเที่ยวหรอก แต่อันนี้เอาฮาครับ เราเลยจะได้เห็นกลเม็ดกดดันสารพัดที่เพื่อนบ้านจอมเพี้ยนพยายามขัดขวางไม่ให้สองผัวเมียตระกูลแครงได้ไปเที่ยวสมใจง่ายๆ

ช่วงที่ว่านี้บอกตามตรงเลยคือ ธรรมดาครับ ฮามั้ย … ก็ไม่ค่อยน่ะ มุขธรรมดามากครับ เดิมๆ แล้วก็ออกมาแกนๆ แล้วค่อนข้างหงุดหงิดหน่อยๆ ด้วยว่าไอ้พวกเพื่อนบ้านนี่จะบ้าไปถึงไหน คือถ้าพวกแครงไม่อยู่แล้วมันจะจัดงานกันเองไม่ได้เลยรึไง ส่วนพวกแครงก็พอกัน แทนที่จะบอกไปตรงๆ ว่าไม่จัดก็มัวแต่อ้อมๆ ปิดข่าวจนวุ่นวายไปตั้งเยอะ คือหนังช่วงนี้ต้องบอกว่าอย่าคิดถึงความเป็นจริงครับ เหมือนตัวการ์ตูนน่ะ ติงต๊องกันเหลือเกิน

ดังนั้นช่วงครึ่งแรกของหนังนี่ผมเฉยเลยนะครับ ไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ คือดูได้เพลินๆ ล่ะครับ แต่ในใจก็คิดว่า เอาอีกแล้วหรือว้า หนังคริสต์มาสเรื่องนี้ออกทะเลอีกแล้ว ไม่มีประเด็นดีๆ อีกแน่เลย ก็นั่งทำใจแล้วล่ะครับว่าจะดูให้จบๆ ไป ไม่คิดอะไรมากแล้ว

… แล้วผมก็ถึงแก่ความอึ้งจนได้ ในช่วงครึ่งท้าย

พอหนังเดินมาถึงครึ่งท้ายนี่ เหมือนอารมณ์มันสลับโทนเลยครับ จากติงต๊องไร้สาระ ฮาแบบแกนๆ ในครึ่งแรก กลับกลายมาเป็นหนังแห่งวันคริสต์มาสอย่างแท้จริง เมื่อเพื่อนบ้านที่ทำตัวบ้าบองี่เง่าในตอนแรก กลับมาช่วยกันกับครอบครัวแครงในการจัดงาน เพื่อต้อนรับการกลับบ้านของแบลร์ มันกลายปเนอีกอารมณืหนึ่งครับ ที่แม้จะไม่ได้ซึ้งจนยอดเยี่ยม แต่อย่างน้อยหนังก็ได้เดินกลับไปสู่แนวทางที่ควรจะเป็น นั่นคือการสื่อความหมายดีๆ ของวันคริสต์มาสไงครับ ไม่ว่าจะการนึกถึงคนอื่น หรือการนึกถึงครอบครัว หรือจะการเอื้อเฟื้อกัน

ดังนั้นหลังจากผมบ่นๆ อยู่ ร่ำๆ จะด่าหนังแล้ว แต่พอเจอครึ่งหลัง อารมณ์ Smooth เลยครับ คือ นี่แหละที่อยากได้ ได้เห็นเพื่อนบ้านช่วยเหลือกัน ได้เห็นพ่อแม่ลูกอยู่พร้อมหน้า กลางหิมะโปรย และต้นสนประดับไฟสวย …

แต่จุดที่ผมชอบที่สุด ไม่ใช่อันนั้นครับ เป็นอีกช็อตหนึ่ง ช็อตหลังจากที่แบลร์กลับมาบ้านแล้ว เป็นช็อตที่เล่นเอามาอึ้งไปเหมือนกัน

ต้องเล่าย้อนหน่อย เอ้า ใครกลัวกร่อยก่อนดู กลัวผมสปอยล์ นี่ถึงเวลาแล้วครับ ผมสปอยล์แน่นอน กรุณาเลื่อนลงไปอ่านดาวครับ แต่อยากจะบอกว่าถ้าท่านอ่านสปอยล์นี้แล้ว มันอาจทำให้ท่านอยากดูหนังเรื่องนี้มากขึ้นก็ได้

ChristmaswithCrankex

ช็อตที่ว่านี้ว่าด้วยตัวละครสองตัวครับ นั่นคือลูเธอร์ ที่พี่ Tim Allen แกรับบทน่ะแหละ กับ วอลท์ ชีล (กับการแสดงอันสุดยอดอีกครั้งของดารารุ่นเก๋า แต่เข้มทางฝีมือ M. Emmet Walsh) ในเรื่องราวนั้น สองคนนี้เขม่นกันทั้งเรื่องครับ ไม่ชอบหน้ากัน ตีกัน ทั้งๆ ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกันแท้ๆ ทะเลาะกันยาวมาก ลูเธอร์ก็มองว่าวอลท์เป็นตาแก่อารมณ์ร้าย โรคจิตไปอยู่ได้ ส่วนวอลท์เองก็ไม่หมั่นไส้ลูเธอร์พอกัน

แต่พอถึงช็อตที่ผมว่านี่ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะครับ ท่ามกลางภาพหิมะ และบรรยากาศหนาวในคืนคริสต์มาส จู่ๆ ก็มีความอบอุ่นไม่ทราบที่มาแผ่ซ่านมาในอารมณ์ของหนังทันที เป็นฉากที่ลูเธอร์ เมื่อเห็นว่างานของตัวเองราบรื่น เห็นลูกมีความสุขอยู่ในงาน เขาก็มองไปอีกฟากหนึ่งของถนน หรือฝั่งตรงข้ามของบ้านเขาน่ะแหละ … ซึ่งที่นั่นวอลท์กับเบฟ (Elizabeth Franz) ภรรยาของวอลท์อยู่กันอย่างเงียบๆ เหงาๆ ประสาคนแก่สองคนในบ้านหลังน้อย

แล้วลูเธอร์ก็ค่อยๆ ย่ำหิมะไป เคาะประตูบ้านวอลท์อย่างสุภาพที่สุดที่เขาเคยทำมา (ปกติไม่เคาะครับ ตะโกนด่าข้ามประตูไปเลย) ก่อนจะขอเข้าไป ยืนคุยและทำความเข้าใจกัน รวมทั้งให้ของขวัญนั่นคือตั๋วที่ตอนแรกลูเธอร์กะจะไปเที่ยวกับภรรยานั่นแหละครับ เมื่อเขาไม่ได้ไปแล้ว เขาก็เห็นว่ามันคงดีหากวอลท์กับภรรยาจะได้ไปพักผ่อนแทนพวกเขา

… คือ … แมร่งซึ้งอ้ะ

จริงๆ นะพ่อแม่พี่น้อง คือ แบบนี้แหละครับ ที่ผมอยากดูในหนังคริสต์มาสอ้ะ แล้วบอกตามตรงว่าผมไม่ได้เจอมานานมากๆๆๆๆ แล้ว เป็นสิบปีแล้วมั้ง เพราะเรื่องล่าสุดที่ผมว่ามันดีก็โน่น ปี 94 โน่น หลังจากนั้นมาหนังคริสต์มาสถ้าไม่ออกทะเลก็กลายเป็นหนังตลกวัยรุ่นไร้สาระไปเลย แต่นี่แหละที่พอจะกู้ศรัทธาผมได้

ครับ ฉากที่ว่าพวกนี้ดูแล้วมันอบอุ่นนะ แต่ครับ แต่ แต่ทว่าฉากที่ว่านี่ไม่ได้สุดยอดหรอกนะครับ ผมเขียนบรรยายเพราะอารมณ์มันไป เพราะมันทำได้ดีในระดับหนึ่ง แต่มันสามารถดีกว่านี้ได้ครับ อันนี้คงต้องยกความรับผิดชอบให้ Joe Roth ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ ซึ่งเคยทำหนังอย่าง America’s Sweethearts เอาไว้ เรื่องนั้นก็ไม่กลมกล่อมเช่นกัน ผมว่าพี่ท่านมือยังไม่แม่นหรอกครับ ทำให้หนังเรื่องนี้ไม่ค่อยสุดยอดอย่างที่ควรจะเป็น อย่างตอนแรกควรจะฮาเลยนะ มาตอนหลังก็ควรจะซึ้งแบบเต็มที่ แต่ที่หนังเป็นอยู่นี่แค่ในระดับหนึ่งครับ แล้วจะว่าไป การที่หนังซึ้งหรือฉากที่ผมพูดนั่นทำไมมันดี อันนี้ต้องชมคนเล่น ไม่ว่าจะพี่ Allen หรือ Walsh ที่รับสั่งอารมณ์กันได้อย่างสุดยอด

เฮ่อ นี่แหละครับ หนังคริสต์มาสเรื่องหนึ่ง ที่แม้จะไม่ยอดเยี่ยมนะ แต่ก็ดีครับที่ยังมีความหมายดีๆ แทรกลงไปในตอนท้าย ซึ่งผมว่าช่วยชีวิตหนังไว้ได้เยอะครับ เพราะตอนต้นเรื่องนี่ดูไปก็ไม่รู้จะให้ดาวยังไงเหมือนกัน เพราะมันไม่สนุกเท่าไหร่ แต่ตอนท้ายนี่ เออ โอเคเลยครับ

ว่าตามจริงนี่ไม่ใช่หนังที่ต้องดูหรอกนะครับ เพราะมันก็ไม่ได้คุ้มทั้งเรื่อง จะดูเอาฮารึ … มันก็ไม่ค่อยฮา จะดูเอาซึ้งก็พอได้ครับ แต่ต้องทนดูครึ่งแรกไปก่อนนะ แล้วมันก็ไม่ได้ซึ้งมากมาย แค่ความหมายดีมากกว่าน่ะครับ ที่ผมแสดงอาการว่าชอบๆ นั่นก็เพราะผมไม่ได้เจอความซ้งในหนังคริสต์มาสมานานเอาการ เหมือนเจอโอเอซิสกลางทะเลทรายน่ะครับ มันเลยรู้สึกดี แต่ถ้าว่ากันถึงหนังโดยรวมทั้งเรื่อง ก็ต้องบอกว่าน่าจะดีกว่านี้ครับ หนังแค่พอดูได้เท่านั้นเอง

แล้วแต่แล้วกันนะครับ ดูหรือไม่สุดแท้แต่ เพราะมันยังมีหนังคริสต์มาสที่อร่อยเหาะกว่านี้เยอะ ไว้จะเอามาเล่าให้ฟัง เรื่องนี้แค่เด็กๆ เท่านั้นครับ

สองดาวครับ

Star21

(6/10)

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.