Action

Skyfall (2012) พลิกรหัสพิฆาตพยัคฆ์ร้าย 007

Skyfall001

Skyfall เป็นหนึ่งในหนังไม่กี่เรื่องที่ผมบอกตัวเองทันทีหลังดูจบว่า “ต้องดูอีกรอบ”

สังเกตดีๆ นะครับ ผมใช้คำว่า “ต้องดูอีกรอบ” ไม่ใช่ “อยากดูอีกรอบ”

“อยากดูอีกรอบ” หมายถึงหนังมันโดนใจมากจนเราอยากดูซ้ำ แต่คำว่า “ต้องดูอีกรอบ” นี่หมายถึง เพียงการดูรอบแรกนั้น มันยังไม่เพียงพอที่จะบอกอารมณ์ความรู้สึกที่เรามีต่อหนังได้แบบชัดเจน อย่างผมตอนดูจบก็เกิดความรู้สึกแบบก้ำกึ่ง

ก้ำกึ่งระหว่าง “ชอบ” กับ “ชอบมาก”

… ก็ถือว่าสปอยล์รีวิวแต่เนิ่นๆ ว่าผมชอบบอนด์ภาคนี้มิใช่น้อยนะครับ ซึ่งก็ได้ยินมาว่าภาคนี้มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกครับเพราะหนังทุกเรื่องก็มีทั้งคนชอบและไม่ชอบอยู่แล้ว ดังนั้นที่เกริ่นไว้ก็เพื่อบอกให้รู้ก่อนครับ ว่ารีวิวนี้ร่ายโดยคนที่ชอบหนังบอนด์มานาน และรู้สึก “โดน” กับบอนด์ภาคนี้อยู่พอสมควร แต่จะมากหรือน้อยผมจะค่อยๆ จาระไนอีกที

เรื่องย่อ Skyfall เล่าง่ายครับ ว่าด้วยเจมส์ บอนด์ (Daniel Craig) ต้องควานหาตัววายร้ายลึกลับที่ก่อวินาศกรรม ถึงขั้นถล่มองค์กร MI6 ใจกลางกรุงลอนดอน จากการสืบก็พบว่าผู้อยู่เบื้องหลังมีนามว่า ราอูล ซิลวา (Javier Bardem) ส่วนแผนการที่แท้ของซิลวาคืออะไรนั้น ก็ลองหาคำตอบกันในหนังนะครับ

Skyfall002

ว่าตามจริงแล้วบอนด์ภาคนี้มีดีเยอะ แต่ขณะเดียวกันก็มีบางช่วงที่หนังอืดไปนิด อ่อนพลังไปหน่อย บางฉากก็ยืดโดยไม่จำเป็น อย่างตอนบอนด์สนทนากับเซเวรีน (Bérénice Marlohe) สาวสวยที่บ่อนในมาเก๊า กินเวลาหลายนาทีแต่บทสนทนาไม่มีสีสัน ไม่เหมือนสมัยบอนด์สนทนากับเวสเปอร์ ลินน์ ใน Casino Royale ที่มีลูกล่อลูกชนน่าสนใจกว่า

จุดน่าเสียดายเล็กๆ ของภาคนี้คือความอืดและอ่อนพลังในบางขณะ และสำหรับคอแอ็กชันก็อาจต้องทำใจ อย่าคาดหวังในคิวบู๊จนเกินไป อย่าอิงจากฉากไล่ล่าในตอนเปิดตัวเด็ดขาดครับ เพราะถัดจากนั้นมาก็ไม่มีฉากไหนบู๊เร้าใจขนาดนั้นอีก ว่าง่่ายๆ คือภาคนี้มีบู๊พอประมาณ บู๊เท่าที่จำเป็น ไม่จัดเยอะเท่าภาคที่ผ่านมาๆ

นั่นคือส่วนที่ผมว่า “ยังดีได้อีก” ของบอนด์ภาคนี้ครับ แต่ก็ถือเป็นส่วนน้อย (ในความคิดผมนะครับ) ทีนี้ได้เวลาร่ายถึงส่วนที่เข้าท่าที่นำพาความรู้สึกผมไปเข้าใกล้คำว่า “ชอบมาก” บ้าง

ผมว่าบอนด์ภาคนี้ยังคงเดินตามขนบเดิมๆ ตามสูตรปกติ แต่ที่น่าสนใจคือรายละเอียดทั้งหลายในขนบนั้น มันมีของใหม่แทรกลงไป เรียกว่าเป็นขวดทรงเก่าแต่เหล้าเปลี่ยนรส

อย่างเช่นการเปิดตัว Q (Ben Whishaw) ที่ไม่ได้เป็นผู้สูงอายุชอบบ่นแบบเดิมๆ แต่ปรับลุคมาในมาดใหม่ เยาว์วัยขึ้นและยังไม่ได้เก่งทุกอย่างแบบขั้นเทพ หรือมุมมองต่อคำว่า “อุปกรณ์เสริมของสายลับ” (Gadgets) ที่ไม่ได้หมายความถึงของล้ำสมัยพิสดาร หรืออาวุธไฮเทคสุดล้ำ ทว่ามันหมายถึงของที่จำเป็นต่อสายลับจริงๆ มีประโยชน์จริง และไม่จำเป้นต้องพกเยอะ เข้าอีหรอบ “(ของ) น้อยแต่มาก (คุณค่า)”

Skyfall003

การตามสืบไล่ล่าวายร้ายก็ยังคงมีตามแบบฉบับ แต่กระนั้นเนื้อในก็มีจุดเปลี่ยนแปลงไป เช่นการที่บอนด์ลดปริมาณการฆ่าลง พวกฉากขับรถไล่บี้ก็แทบไม่มีเลยครับ (นอกจากตอนต้น) ซึ่งผมว่ามันเป็นทั้งการเติมสิ่งใหม่ลงไปในสูตรเก่า และยังเป็นการสะท้อนภาพโลกของสายลับได้อย่างน่าสนใจ และเข้าถึงในระดับหนึ่ง

เพราะจริงๆ สายลับนั้นต้องทำงานแบบลับๆ ครับ จะพยายามไม่ทำให้ใครหันมาสนใจ ยิ่งตีเนียนเป็นคนธรรมดาได้เท่าไรยิ่งดี เพราะหากทิ้งร่องรอยไว้เพียงนิดเดียว ย่อมหมายถึงอันตรายที่อาจเกิดกับชีวิตตนหรือแม้แต่สายรอบตัว อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงต่อปฏิบัติการด้วย

ผมว่าบอนด์แบบ Craig นั้นมีพัฒนาการที่น่าสนใจนะครับ จะเห็นได้ว่าภาคแรกใน Casino Royale พี่แกระห่ำมาก บู๊แรง ยามแค้นก็แค้นจัดจนเล่นเอาปั้นจั่น, ตึก และสถานที่ราชการพังเป็นแถบๆ มาแล้ว ไปไหนมาไหนก็ชอบประกาศตัวแบบอหังการ ขาดแค่สปอตไลท์ส่องตอนแกเดินมาเท่านั้นล่ะ

แต่พอมาภาค Quantum of Solace เขาจะเริ่มเห็นถึงผลลัพธ์การทำงานแบบระห่ำเกินเหตุที่มักจะทำให้ใครๆ รอบตัวพากันตาย หรือไม่ก็กลายเป็นการทำให้ผู้ร้ายไหวตัว จนปฏิบัติการยุ่งยากขึ้น ไหนจะการตระหนักรู้ว่าผลแห่งการทำอะไรด้วยความแค้นนั้นไม่ มันมักจะนำมาซึ่งความเสียหายแบบเกินจำเป็นด้วยกันทั้งสิ้น

แต่ในตอนจบภาค Quantum เราจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างครับ การมีสติมากขึ้น การรู้ว่าตนกำลังเล่น “เกม” ชนิดใดอยู่ กติกาคืออะไร และสิ่งที่วางเดิมพันคืออะไร อีกทั้งการที่เขาตระหนักรู้ว่าอะไรควรมาก่อนมาหลัง ระหว่างงานกับเรื่องส่วนตัว

และในภาคนี้เราก็จะได้พบบอนด์ฉบับอัพเดตที่ลุ่มลึกขึ้น ไม่ว่าจะเพราะเขาได้เรียนรู้ไปมากหรือเพราะเจอเรื่องเฉียดตายมาก็ตาม แต่ผลที่เราได้เห็นก็คือ บอนด์ทำอะไรอย่างใจเย็นขึ้น มีสติคิดมากขึ้น สร้างความเสียหายให้กับทรัพย์สินต่างๆ น้อยลง (ยกเว้นทรัพย์สินที่เป็นของเขาเอง… เป็นอะไรลองไปดูกันนะครับ)

1123220 - Skyfall

ไม่ว่าทีมงานจะตั้งใจหรือไม่ แต่เราก็ได้เห็นพัฒนาการของบอนด์จากสายลับ 00 หน้าใหม่ที่ระห่ำได้จนเกือบขึ้นหน้าหนึ่งตามหนังสือพิมพ์ กลายมาเป็นสายลับแห่งอังกฤษที่เกิดมาเพื่อกู้วิกฤตให้กับโลก โดยดำเนินการอย่างรอบคอบพอเหมาะพอดี

ผมยังจำตัวเองได้ ในวันที่รู้ว่า Daniel Craig จะมาเล่นเป็นบอนด์ ในใจผมเกิดความรู้สึกไม่ยอมรับ ไม่อยากรับ หรือจะเรียกว่ารับไม่ได้ก็ตามที แต่พอถึงวันนี้ Craig พิสูจน์ตัวเองได้อย่างดีครับ ว่าเขาเหมาจะเป็นบอนด์ เพียงแต่อาจจะไม่ใช่บอนด์แบบเดิมๆ ที่หล่อสมาร์ทเก่งกาจโอเวอร์ แต่เป็นบอนด์ที่เรามีโอกาสได้รู้จักตั้งแต่จุดเริ่มต้นแห่งอาชีพพยัคฆ์ร้าย รหัสสังหาร 007 เราได้เห็นสิ่งที่เขาเป็น สิ่งที่เขาพบ สิ่งที่เขาคิด สิ่งที่ทำให้เขาเปลี่ยน และสิ่งที่ทำให้เขาเป็นบอนด์ที่ผสมสไตล์เก่าและใหม่เข้าด้วยกันอย่างลงตัว

ซึ่งอันนี้ก็ต้องชมทีมเขียนบทอย่าง Neal Purvis และ Robert Wade ที่เขียนและพัฒนาบทหนังบอนด์มาตั้งแต่ตอน The World is Not Enough และภาคนี้ยังได้ John Logan มาร่วมแจมเขียนบทด้วยอีกราย

อย่างไรก็ตาม อยากขอคารวะในความแน่ครับ พี่ Daniel Craig พี่สามารถเพียรพยายามสวมวิญญาณบอนด์ได้อย่างน่าปรบมือจริงๆ (ยิ่งชนะใจสาวสวยวันสวยคืนอย่าง Rachel Weisz ได้นี่ยิ่งคารวะเป็นสองเท่า แน่จริงๆ )

ดูๆ แล้วเหมือนบอนด์ภาคนี้พยายามใช้ความรุนแรงน้อยลง อย่างตอนเจอประตูล็อคกุญแจในอุโมงค์รถไฟใต้ดิน พี่แกยังรอจนนาทีสุดท้ายแล้วค่อยใช้ปืน ซึ่งถ้ามองในอีกแง่หนึ่ง ปืนนั่นก็คืออุปกรณ์ที่ Q ให้ เหมือนจะแซวว่าไม่ต้องใช้ของพิสดารอะไรมากมาย แค่ปืนนี่แหละ ครอบจักรวาล 555

… เอาล่ะนะครับ

เพื่อความสบายใจ ผมควรแจ้ง ณ ตรงนี้เลยว่าถัดลงไปอาจมีส่วนที่สปอยล์นะครับ หากไม่อยากทราบหรือยังไม่ได้ดู ให้ข้ามไปอ่านดาวและสรุปที่บรรทัดสุดท้ายเลยแล้วกัน

อย่างที่บอกครับว่า บอนด์ภาคนี้มีจุดอืด ยืดในหลายช่วง แต่ผมก็ขอใช้คำว่า “ยังดีได้อีก” เพราะไม่ใช่ว่าไม่ดีครับ จริงๆ มันโอเค แต่ถ้าใส่อะไรลงไปให้น่าสนใจกว่านี้มันก็จะเยี่ยมมาก อย่างตอนบอนด์คุยกับเซเวอรีนที่ผมบอกไป หรือฉากบู๊ตอนท้ายที่บอนด์ปะทะกับซิลวาที่อาจแลนดิ้งไปสู่ Ending ไวไปสักนิด

Skyfall005

แต่จุดอื่นๆ ในหนังก็มีที่เข้าท่าจนเตะตาและช่วยกลบจุดอ่อนลงไปได้เยอะ ซึ่งจุดดีที่ว่าก็คือสารพัด “เหล้าใหม่” ที่ใส่ลงไปในขวดเก่าหรือสูตรสำเร็จของหนังชุดนี้ที่ถือว่าใส่ลงมาแล้วเข้าเป้า

นอกจากองค์ประกอบปลีกย่อยที่บอกไปข้างต้นแล้ว ที่จัดว่าสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ต้องยกให้ ซิลวา ที่ถือเป็นวายร้ายหนังบอนด์ที่ไม่เหมือนใครครับ เพราะปกติแล้วผู้ร้ายบอนด์จะต้องการครองโลก อยากยิ่งใหญ่ อยากได้เงิน อยากได้ครองอะไรสักอย่าง และที่แน่ๆ คือไม่อยากให้ความตายมาพรากไปจากโลกนี้

แต่กับซิลวา เขาไม่ได้อยากครองโลก ไม่ได้หมายยิ่งใหญ่ และอันที่จริง เขาไม่ได้คิดจะมีชีวิตยืนยาวเสีบด้วยซ้ำ!

ซิลวาคืออดีตสายลับที่เปรียบได้ดั่งลูกรักของ M (Judi Dench) ที่ทำงานสุดชีวิตถวายหัว แต่พอเกิดความผิดพลาดจนซิลวาต้องตกอยู่ในสภาพตายทั้งเป็น เขาเลยกลายเป็นคนที่คิดแค้นองค์กร MI6 และ M แบบสุดหัวใจ พร้อมทั้งหันมาใช้ชีวิตแบบตามใจฉัน กลายเป็นอาชญากรที่ไม่สนใจกฎกติกาใดๆ อีกต่อไป

แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้ต้องการจะครองจะใหญ่ใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป้าหมายหนึ่งเดียวคือการเดินหน้าทำลายหน่วยงานที่สร้างเขาขึ้นมา อีกทั้งคนที่เขาเคยนับถือประหนึ่งมารดาบังเกิดเกล้าด้วย ในขณะที่เป้าหมายอื่นใดพี่แกไม่สน ทั้งที่อำนาจที่เขามี เขาสามารถสร้างองค์กรร้ายได้อย่างไม่ยากเย็น

ถึงจุดนี้ก็เข้าใจที่หลายคนเปรียบซิลวากับโจ๊กเกอร์แห่ง The Dark Knight ที่โหด ร้าย คลั่ง และพร้อมทำทุกอย่างเพื่อเป้าหมายที่ต้องการ ทว่าเป้าหมายที่ว่านั้นไม่ใช่อะไรที่ทุกคนจะเข้าใจ และไม่ใช่เป้าหมายทั่วไปของเหล่าร้ายสามัญ

Skyfall006

ยิ่งในนาทีสุดท้ายเมื่อเขาเอาปืนจ่อขมับ M แล้วเตรียมลั่นไกให้โดนตนเองเพื่อจะได้ตายตกไปตามกัน ซึ่งสิ่งนี้แหละคือเป้าหมายสูงสุดที่เขาอุตส่าห์ทุ่มเททำไปทั้งหมด

… และที่สำคัญคือ แม้จะไม่เป็นไปตามแผน แต่สุดท้ายแล้วซิลวาก็สมปรารถนาดังที่ตั้งใจเอาไว้ทุกประการ

ดังนั้นหากจะบอกว่านี่คือการพ่ายแพ้ครั้งสำคัญของบอนด์ก็คงไม่ผิดอะไร เพราะภาคก่อนๆ ผู้ร้ายไปไม่ถึงจุดหมาย แผนถูกทำลายโดยบอนด์ตลอด แต่กับครั้งนี้… เป็นครั้งเดียวที่บอนด์ไม่สามารถยับยั้งได้ในท้ายที่สุด

ซิลวาอยากตาย อยากให้ M ตายตามเขาไป พร้อมทั้งถล่ม MI6 เดิมให้สิ้นซาก… ทุกอย่างสมประสงค์ซิลวาทั้งหมด!

ซิลวาจึงเป็นวายร้ายหนังบอนด์ที่มีเอกลักษณ์สุดๆ ครับ ไม่ว่าจะหน้าตา ท่าทาง บุคลิก การแสดงออก หัวสมองที่ร้ายเหลือ และรสนิยมที่น่าจดจำ ขนาดบอนด์ยังแซวตอนพี่แกนั่งคอปเตอร์ไปล่าพวกบอนด์ว่า “ต้องเปิดตัวอลังการตลอดเลยนะ”

ผมรู้สึกว่าไคลแม็กซ์ก็เป็นอีกหนึ่งการเดินตามขนบที่ใส่เหล้าใหม่ลงไป เพราะปกติแล้วในหนังบอนด์ทุกเรื่อง บอนด์มีหน้าที่ไปตามล่าผู้ร้าย ไปถล่มองค์กรให้ย่อยยับ จนเรียกได้ว่าคฤหาสน์ ฐานทัพ ยานอวกาศ เครื่องบิน เรือดำน้ำ หรืออะไรก็ตามที่เป็นของผู้ร้าย มันจะต้องราบไม่เหลือดี

แต่ครั้งนี้เหตุการณ์กลับกัน บอนด์ถอยมาตั้งหลักที่ฐานลับ ฐานเดียวที่บอนด์มี แล้วพวกซิลวาก็ยกกองมาถล่มจนราบ (แต่อย่างไรก็ตาม คนที่ทำลายแบบราบจริงๆ ก็คือ บอนด์อยู่ดี)

ฉากปะทะตอนท้ายถ้าวัดดีกรีความมันส์ก็อาจไม่มาก แต่ถ้านับดีกรีความสดสำหรับหนังบอนด์ก็ถือว่าไม่น้อย เพราะบอนด์ได้เป็นฝ่ายใช้สมองในการตั้งรับ อีกทั้ง M ก็ยังได้สำแดงไหวพริบฝีมือเต็มๆ ก็ครั้งนี้นี่แหละ

ในครึ่งหลังตั้งแต่ซิลวาปรากฏแล้วไล่มาจนถึงตอนจบ ถ้ามองโดยเล็งความมันส์ มันก็อาจจะไม่มันส์ดั่งใจ แต่ถ้ามองที่รายละเอียดและความตั้งใจ ก็อดชื่นชมทีมงานไม่ได้ที่กล้าทำอะไรแบบนี้ออกมา

Skyfall007

นอกจากการปะทะของบอนด์กับซิลวาที่ฉีกกฎถล่มฐานผู้ร้ายแบบเดิมๆ แล้ว อีกเรื่องที่แหวกแล้วผมชอบคือ สาวบอนด์

คุณว่าใครคือสาวบอนด์ในภาคนี้ครับ… อีฟ (Naomie Harris) ที่เล่นหมาหยอกไก่กับบอนด์เป็นระยะๆ หรือเปล่า หรือเป็นเซเวอรีนกันแน่… แต่สำหรับผม ผมมองว่าคือ M

จะเห็นว่าตั้งแต่ต้นบอนด์กับ M มีความผูกพันต่อกัน แม้จะไม่ได้แสดงออก แต่มันก็เห็นชัดอยู่ในหลายๆ ช่วง เรียกว่ามีมาตั้งแต่ตอน Casino Royale เลยก็ว่าได้

อย่างในภาคนี้ หน้าตาตอน M รู้ว่าบอนด์โดนยิง… บ่งบอกอะไรได้หลายอย่าง

หรือตอนที่บอนด์ตัดสินใจกลับมาลอนดอน ที่แรกที่เขาตรงมา คือห้องของ M และยิ่งไม่ต้องพูดถึงนาทีที่บอนด์นึกออกว่าแท้จริงแล้วซิลวาต้องการอะไร… บอนด์ตกใจแบบไม่ปิดบัง และพล่านทั่วลอนดอน ขนาดกล้าโดดเกาะรถไฟใต้ดินแบบไม่กลัวตาย

ในความคิดผมแล้ว การโดดเกาะรถไฟใต้ดิน… มันสื่อถึงความ “สุดๆ” ทางอารมณ์ได้ชัดมาก

แล้วในตอนท้าย บอนด์ก็สู้สุดชีวิตเพื่อปกป้องสาวบอนด์รุ่นลายครามคนนี้ แบบที่ไม่เคยออกโรงปกป้องสาวคนไหนขนาดนี้มาก่อน…

และจะว่าไป บอนด์ไม่เคยพาสาวคนไหนมาถึงบ้านของเขาเองเลย

แม้แต่สาวบอนด์ ภาคนี้ก็ยังแหวกขนบได้ถึงเครื่องถึงขีดไม่ใช่เล่น!

Skyfall008

M คือที่สุดแห่งสาวบอนด์จริงๆ ครับ และคงไม่เกินไปหากจะกล่าวว่าบอนด์ “รัก” M นั้น อาจจะมากกว่าสาวบอนด์คนไหนๆ ก็ได้ ซึ่งอันนี้เราต้องมองคำว่า “รัก” ให้เหมาะกับมุมครับ

แน่นอนว่าบอนด์ไม่ได้รัก M ในเชิงชู้สาว แต่เขารักเธอ เคารพเธอ ห่วงใยเธอ ประหนึ่งว่าเธอคนนี้คือมารดาอีกคนของเขาเหมือนกัน

หากมองดีๆ ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าบอนด์ภาคนี้ให้อารมณ์เหมือนเรื่องราวแนวโศกนาฏกรรมโบราณ ประเภทว่าลูกคนหนึ่งปกป้องบุพการีให้พ้นจากลูกอีกคนที่กลายเป็นทรราชย์

หรือถ้ามองให้เป็นอังกฤษขึ้นมานิด ก็ชวนให้นึกถึง Frankenstein ที่ซิลวาก็เปรียบเสมือนอสูรที่ถูกสร้างขึ้น โดย M และในที่สุดอสูรก็ย้อนมาตามล่าและทำลายผู้สร้าง โดยบอนด์ก็อาจเทียบได้กับ กัปตันวอลตัน ผู้ที่ได้พบเห็นรับรู้เรื่องราวทั้งหมด และยังเป็นสักขีพยานในบทอวสาน ทั้งของผู้สร้างและตัวอสูร (ผู้ประพันธ์ Frankenstein ก็คือ Mary Shelley เธอเป็นชาวอังกฤษครับ)

จุดนี้ก็อยากชมพี่ Javiar Bardem เลยครับ แกเล่นได้ดีจริงๆ แววตาตอนโหดก็น่ากลัวจัด หรือตอนแค้นก็ปานจะกลืนกินกันให้ถึงตาย

ส่วน M ในภาคนี้ก็นับว่าเด่นครับ Dench แสดงได้อย่างน่าจดจำมากๆ ซึ่งนอกจากตำแหน่งสาวบอนด์แล้ว เธอยังมีโอกาสได้ประกาศถึงความสำคัญของสายลับให้ใครต่อใครได้เข้าใจ หลังจากโดนใครต่อใครตั้งคำถามว่า “สายลับยังมีความจำเป็นอีกหรือไม่ ในโลกยุคใหม่แบบนี้?”

ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าสายลับเป็นเรื่องคร่ำครึสำหรับหลายๆ คน เพราะยุคนี้มันยุคใหม่ มันอาจไม่จำเป็นต้องมีสายลับมาประจำการณ์ หรือคอยสอดแนมโน่นนี่ เพราะโลกพัฒนาไปไกลและเปิดกว้างต่อกันไปแล้ว ไม่ได้เหมือนสมัยก่อนที่มีการทำสงครามเย็นกัน หรือจารกรรมข้อมูลเพื่อความได้เปรียบทั้งด้านธุรกิจการค้า และสงคราม

แต่แน่ใจได้จริงๆ หรือว่าสายลับไม่ใช่หนึ่งในความจำเป็นเพื่อรักษาบางสิ่งให้กับโลกอีกต่อไป

เมื่อ M มีโอกาสเธอก็ชี้แจงว่าโฉมหน้าของสายลับทุกวันนี้ไม่ได้เป็นเพียงจารชนคนสองหน้าอีกต่อไป แต่พวกเขาคือกลุ่มคนที่เสี่ยงชีวิตเข้าไปสังเกตสิ่งผิดปกติ หรือเงื่อนงำที่น่าสงสัยต่างๆ ในจุดที่มืดเร้น ในจุดที่คนทั่วไปไม่สามารถไปถึงได้

ภารกิจหน้าที่ของสายลับไม่ใช่งานจารกรรม แต่คือการระวังภัย คอยแจ้งเตือนเมื่อพบแผนร้าย หรือถ้าทำได้ก็ลงมือขัดขวาง อีกทั้งภายใต้โลกที่ดูเหมือนสงบนั้น มันยังมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอยู่ ซึ่งดูไปก็ยิ่งอันตรายกว่าแต่เก่าก่้อน เพราะสมัยก่อนเรามีเป้าชัดเจน (อย่างเช่น รัสเซีย หรือสหภาพโซเวียตเดิม) แต่ทุกวันนี้การถือกำเนิดของเหล่าร้ายมีทั้งแบบมันซับซ้อนขึ้น บ้างก็กำเนิดอย่างง่ายขึ้น บ้างก็ตั้งองค์กรในแหล่งที่ที่เราเองก็คาดไม่ถึง กว่าจะรู้ตัวพวกมันก็สร้างหายนะไปเรียบร้อยแล้ว

เราจะแน่ใจได้อย่างไร อยู่อย่างสบายใจได้หรือไม่ หากโลกนี้ไร้ซึ่งเหล่าสายลับที่เสี่ยงชีวิตทำงานอยู่นี้

ถ้ามองในโลกความจริง สายลับอาจมีทั้งดีและไม่ดี แต่ถ้าเราจำกัดกลุ่มสายลับแค่ที่ M หมายถึง นั่นก็คือสายลับที่มีภารกิจหน้าที่เพื่อความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยของประชาชน เป็น “ดวงตา” ที่ต้องลืมตลอด โดยเฉพาะยามทุกคนหลับ

ฉากที่ว่านอกจากประกาศสิ่งที่เธอเก็บงำไว้เสมอยามที่ต้องนั่งโตีะอำนวยการสายลับแล้ว ยังเป็นเหมือนการฝากงานต่อถึง M คนต่อไปด้วย

เมื่อพูดถึง M คนต่อไป ผมว่าหนังก็สานเรื่องราวได้เนียนนะครับ ซึ่งผู้ที่ดูแล้วย่อมรู้ว่าเขาคือ กาเร็ธ มัลลอรี่ (Ralph Fiennes) ที่หนังค่อยๆ บอกเรื่องราวของเขาผ่านปากหลายๆ ตัวละคร แล้วพอถึงฉาก M โดนซิลวาตามเจอ มัลลอรี่ก็ได้แสดงให้เห็นว่าเขานั้นมีดีแค่ไหน นับเป็นนาทีแรกที่บอนด์กับมั้ลลอรี่ หรือ M คนใหม่ได้แนะนำตัวกันและกัน (บนถนนสายลับ) อย่างเป็นทางการ

แล้วหนังก็แทรกบทบาทของมัลลอรี่ลงไปทีละน้อย จนทำให้เราค่อยๆ ยอมรับการมาของ M คนใหม่นี้ได้อย่างไม่ยากเย็น

อันนี้ Fiennes เล่นได้ดีครับ เหมาะมาก ดูน่ากังขาในตอนต้น แต่พอเรื่องดำเนินไปเขาสามารถแสดงบุคลิกที่น่าวางใจ อีกทั้งไหวพริบปฏิภาณอีกไม่ใช่น้อยด้วย

Skyfall009

และการมาแสดงในหนังบอนด์ของ Fiennes ก็ทำให้ผมนึกถึงอีกขนบที่ไม่เป็นทางการของหนังชุดเจมส์ บอนด์ 007 ขึ้นมาได้

สิ่งบังเอิญอย่างหนึ่งที่แฟนหนังชุด 007 น่าจะจำได้ คือ มักจะต้องมีดาราที่เคยแสดงใน The Avengers มาร่วมแสดงในหนังเรื่องนี้ด้วย

The Avengers นี่ไม่ใช่หนังรวมฮีโร่ของ Marvel นะครับ แต่เป็นหนังซีรี่ส์แนวสายลับจากอังกฤษที่ได้รับความนิยมมากในยุค 60 ซึ่งเรื่องบังเอิญอย่างหนึ่งคือ ดาราใน The Avengers มักมีโอกาสได้ไปแสดงในหนังชุด 007 เช่น Honor Blackman สาวบอนด์ตอน Goldfinger หรือ Diana Riggs สาวบอนด์ตอน On Her Majesty’s Secret Service ทั้งสองล้วนเคยเล่นบทสายลับหญิงใน The Avengers มาก่อน

กระทั่งจอห์น สตีด พระเอกของ The Avengers ที่รับบทโดย Patrick McNee ก็ยังเคยมาเล่นเป็นผู้ช่วยบอนด์ในตอน A View to A Kill นี่ยังไม่นับรวมดาราสมทบอีกหลายรายที่เวียนวน ไม่จาก The Avengers ไปโผล่ 007 ก็จะจาก 007 ไปโผล่ใน The Avengers

และ Fiennes ก็เคยแสดงเป็น จอห์น สตีด ใน The Avengers เวอร์ชั่นล่าสุดที่แม้จะออกมาเจ๊ง แต่เขาก็เข้าชื่ออดีตเป็นดารา The Avengers ที่ได้มาโผล่ในหนังบอนด์อีกคน (ส่วนเรื่อง The Avengers นั้นก็มีตัวร้ายรับบทโดย Sean Connery บอนด์ตัวพ่อน่ะครับ)

ถ้า Fiennes คนเดียวอาจบังเอิญ แต่นี่ยังมี Nicholas Woodeson คนที่นั่งในห้องแล้วทดสอบด้วยการให้บอนด์ตอบเมื่อเขาพูดคำใดคำหนึ่งขึ้นมา ซึ่ง Woodeson ก็เคยรับบทคนทดสอบความฟิตของจอห์น สตีดมาแล้วใน The Avengers ฉบับ Fiennes นั่น

อาจบังเอิญ… หรือไม่ก็ได้

น่าจะหมดเขตสปอยล์แล้วล่ะนะครับ

Skyfall010

อีกส่วนที่ชอบคือเพลงครับ ไม่แปลกใจเลยที่จะได้ออสการ์ไป เพลง Skyfall ถือเป็นเพลงที่ทรงพลังมาก ฟังไพเราะและได้อารมณ์เข้ากับหนังเป็นอย่างดี พลังเสียงของ Adele ก็เยอะมากครับ ทำให้นึกถึงเพลงบอนด์อย่าง Goldfinger และ Diamonds Are Forever ของ Shirley Bassey เลยครับ

อีกทั้งฉากไตเติ้ลเข้าเรื่องน่ะครับ ภาคนี้สร้างสรรค์ออกมาได้น่าดูมาก สวยงาม ซ่อนความหมาย เล่าเรื่องราว สื่อถึงสถานที่ทั้งหลายที่เราจะได้พบในหนัง และที่สำคัญคือสื่อถึงปลายทางแห่งชีวิต… อันหมายถึงความตาย

ที่ชอบอีกอย่างก็คือการเลือกโลเกชั่นมาเล่าเรื่องราวครับ เลือกที่เจ๋งๆ ทั้งนั้น อย่างคาสิโนมังกรแดงหรือคฤหาสน์สกายฟอลล์ ขณะเดียวกันก็ต้องยกนิ้วให้ Stuart Baird คนตัดต่อด้วยครับ ฝีมือแกดีไม่มีตกจริงๆ ซึ่งพี่แกเคยได้ไปกำกับหนังอยู่พักหนึ่งนะครับ หนังก็ออกมาสนุกดี แต่ไม่ทำเงินสักเรื่อง สุดท้ายเลยต้องมาทำหน้าที่เดิม ซึ่งก็ทำได้ดีเหมือนเดิมครับ

ด้านดนตรีประกอบก็ได้ Thomas Newman มาทำให้ ก็ไม่แปลกใจอีกเหมือนกันครับเพราะพี่แกทำคู่บุญให้หนัง Sam Mandes มาตั้งแต่ผลงานแจ้งเกิดอย่าง American Beauty แล้ว งานดนตรีในภาคนี้ก็ถือว่าออกมาดีครับ เพียงแต่ยังไม่เด่นเต็มที่ และเอกลักษณ์ของ Newman ก็ยังไมค่อยโผล่ด้วย

เอกลักษณ์ของดนตรีเขา ในความคิดผมก็คือ ทำนองที่พริ้วไหวดุจหยดน้ำกลอกกลิ้งบนใบบัว ซึ่งก็พอเข้าใจล่ะครับว่าหนัง 007 คงจะมีวาระแห่งดนตรีทำนองนั้นได้ยากสักหน่อย แต่เท่าที่เป็นก็นับว่าเข้าขั้นดีแล้วล่ะครับ

แล้วที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ก็คือ Sam Mandes ที่คุมหนังเรื่องนี้ได้อย่างดี ซึ่งดีในที่นี้คือดีในแง่การกล้าแหวกขนบในแบบต่างๆ แต่เป็นการแหวกที่เนียนดี แม้หลายช่วงจะดีได้อีกแบบที่ผมบอก แต่เขาก็สามารถนำมิติใหม่ในสู่หนังบอนด์ได้สำเร็จ เพียงแต่คอแอ็กชันหวังความมันส์อาจต้องทำใจมากหน่อยน่ะครับ

เล่ามานานพล่ามมาเยอะ ก็เพื่อจะบอกว่าผมเข้าข่ายชอบบอนด์ภาคนี้้ครับ ตอนต้นบอกว่าก้ำกึ่ง มาตอนนี้ก็ยังก้ำกึ่งอยู่พอสมควร แต่ก็พอจะบอกได้ว่าผมชอบบอนด์ภาคนี้ในระดับ “มาก” ครับ… แต่ก็เป็นประเภท “มากได้อีก” น่ะแหละ

บอนด์ภาคนี้ผมว่าดีกรีความเข้าท่าพอๆ กับ Casino Royale ครับ เพียงแต่ของ Casino นันจะลงตัวพอเหมาะเข้ากันเนียนทุกจุด ส่วนภาคนี้มีของดี มีของล้ำ มีของที่ไม่มีภาคไหนเหมือน แต่ด้านแอ็กชันและความเข้มข้นอาจไม่มากเท่าภาค Casino

และอีกจุดที่ทำให้รู้สึกดีต่อหนังภาคนี้ก็คือ Skyfall ถือเป็นบทสรุปแห่งหนังไตรภาคชุด “การเรียนรู้และเติบโตของเจมส์ บอนด์ 007” ที่เข้าท่าไม่เลว (ไม่รู้ว่าทีมงานเขาจงใจทำเป็นหนังชุดหัวข้อนี้ไหม แต่ผมรู้สึกอย่างนั้นเลยขอคิดตามนั้นน่ะนะครับ )

ใน Casino Royale เราจะได้เห็นบอนด์มือใหม่ที่ใช้โทสะเป็นตัวนำทาง ใช้อารมณ์เป็นตัวคุมเกม แม้จะมีการคิดก่อนทำแต่หลายวาระที่อารมณ์มักจะแทรกขึ้นมามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ จนถึงขั้นพี่ท่านเกือบเอามีดไปแทงเลอ ชีฟ (ตัวร้ายประจำตอน) ด้วยอารมณ์มาแล้ว

และในตอนจบ เขาได้รับบทเรียนสำคัญว่า “อย่าไว้ใจใครในโลกของสายลับ” ซึ่งบทเรียนนี้เขาสามารถรับรู้และเรียนรู้จากมันได้สองแบบ แบบแรกคือ การปฏฺบัติการทั้งหลายด้วยความระแวง ไม่ไว้ใจ และพร้อมจะทวงแค้นใครก็ตามที่บังอาจมาหาเรื่องหรือหลอกลวงเขา

หรือแบบที่ 2 คือแยกแยะไม่เอาบทเรียนนี้ไปปนกันอารมณ์ คือรับรู้ว่าคนในวงการนี้ไว้ใจได้ยากจริงๆ แต่ขณะเดียวกันก็จะไม่ปล่อยให้ตัวเองหงุดหงิดหรือมีอารมณ์กับเรื่องพวกนี้ เพราะการที่เขาใช้อารมณ์ร่วมพิจารณาก็อาจทำให้เกิดความผิดพลาดคลาดเคลื่อนในการสรุปผลได้

แต่ดูเหมือนว่าบอนด์จะออกแนวแบบที่ 1 ยังมีโทสะกับเรื่องเหล่านี้ ถึงขั้นเรียกเวสเปอร์ว่านางตัวแสบ จน M ต้องบอกข้อมูลที่ถูกต้องให้บอนด์ทราบว่าเขากำลังเข้าใจเวสเปอร์ผิดไป

พอมาถึง Quantum of Solace บอนด์ได้เรียนรู้ผ่านการล้างแค้นของคาร์มิลล์ สาวบอนด์ประจำตอนว่าการล้างแค้นไม่ใช่คำตอบเลยครับ เพราะต่อให้เราล้างแค้นคนที่ทำร้ายเราได้ แต่มันก็ไม่เปลี่ยนอะไรเลย และดีไม่ดีการที่เราจมอยู่กับความแค้น มันก็อาจทำให้เราเสียหายได้ เช่น แทนที่เราจะเอาเวลาไปสร้างอนาคตที่ดี เรากลับให้อดีตแห่งไฟแค้นผลาญเวลาไป ผลาญโอกาสไป แล้วก็หมกมุ่นกับอดีตอันเจ็บแค้นนั้น หรือไม่ก็พาลระแวงคนอื่นไปหมด

ไปๆ มาๆ คาร์มิลล์ได้สอนและชวนให้บอนด์ออกจากวังวนแห่งความแค้น หลังจากเธอได้เข้าใจแล้วว่าโฉมหน้าแห่งการแก้แค้นนั้น มันไม่ได้สะใจอย่างที่เธอเคยคิด แต่ในทางกลับกัน การปล่อยวางเลิกแค้นนั่นต่างหาก ที่จะทำให้เราเบาสบายได้

หลังจากนั้นบอนด์จึงค่อยๆ แยกแยะเรื่องส่วนตัวและความแค้นออกจากงานได้ อย่างที่เราเห็นในตอนท้ายของภาค Quantum ที่สติมาก่อน ความแค้นไว้ทีหลัง

และพอมาถึง Skyfall บอนด์ก็มีโอกาสได้เห็นตัวแบบ (หรือเยี่ยงอย่าง) ที่ชัดสุด สำคัญสุดในการเรียนรู้ว่าสายลับที่จมอยู่กับอดีต จมอยู่กับความแค้นนั้นจะต้องเอยเป็นคนแบบไหน… ก็กลายเป็นซิลวาไงล่ะครับ

ซิลวานั้นให้ความสำคัญกับอารมณ์ตน เมื่อรักมากพอถึงคราวแค้นก็แค้นมาก มากมายจนเลือกเดินทางที่เป็นบ่อเกิดแห่งหายนะ การตัดสินใจวิเคราะห์หลายๆ อย่างก็เป็นไปในเชิงทำลาย และทำให้เขาเลือกใช้ชีวิตอันมีค่า ไปเพื่อการทำทุกอย่างในการล้างแค้น

การหล่อหลอมให้ตนเองใช้อารมณ์นำทางมากๆ นั้น มันสามารถขยายระดับขีดความอันตรายได้อย่างมากมายจริงๆ

จากสารพัดเรื่องที่บอนด์เรียนรู้จากหนัง 3 ภาคนี้ ผมว่าเป็นการเรียนรู้และพัฒนาตัวบอนด์ที่ดีนะครับ และยังเป็นการนำทิศทางหนังบอนด์เข้าสู่วิถีแห่งบอนด์แบบเดิมๆ ทีละนิดๆ ได้อย่างมั่นคงทีเดียว

แน่นอนว่าภาคหน้าน่าจับตาอย่างมากทีเดียว

โดยรวมแล้วนะครับ บอนด์ภาคนี้ถือว่ามีของดีที่น่าระลึกถึง หากมองตามมุมเหล่านี้แล้ว ก็พร้อมให้ดาวตามจำนวนนี้ได้

สามดาวครับ

Star31

(8/10)

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.