Adventure

Star Trek V: The Final Frontier (1989) สตาร์ เทร็ค 5 ตอน สงครามสุดจักรวาล

1367995610

จากความสำเร็จระดับร้อยล้านของภาคที่แล้วทำให้ภาคนี้ได้รับไฟเขียวแบบสบายๆ ครับ โดยผู้รับหน้าที่กำกับก็คือ William Shatner เจ้าของบทกัปตันเจมส์ ที เคิร์กที่ได้ทำสัญญาไว้ตั้งแต่ภาคก่อน ว่าเขาจะยอมแสดงในภาค 4 ต่อเมื่อ Paramount ยอมให้เขากำกับภาค 5 (พร้อมขึ้นค่าตัวเป็น 2.5 ล้านเหรียญ)

Shatner มีไอเดียสำหรับภาค 5 ว่าด้วยการเล่นกับประเด็น “พระเจ้า” ครับ เขาสร้างตัวละครที่ชื่อซาร์ขึ้นมา โดยตัวละครนี้มีจุดมุ่งหมายต้องการยานอวกาศสักลำนำพาเขาไปพบกับพระเจ้าที่ อาจสถิตย์อยู่ ณ สุดขอบจักรวาล โดยบทร่างดั้งเดิมนั้นหนังจะกำหนดให้เหล่าลูกยานทุกคน (ไม่เว้นแม้แต่หมอแม็คคอยและสป็อก) เชื่อศรัทธาในตัวซาร์อย่างมาก จนถึงขั้นยอมทรยศและไม่ฟังคำสั่งเคิร์ก แล้วในที่สุดพวกเขาก็เดินทางไปยังสุดขอบจักรวาล และได้พบกับพระเจ้า

Shatner เอาบทไปให้ Frank Mancuso โต้โผใหญ่ Paramount ในขณะนั้น ซึ่ง Mancuso ก็ชอบครับ พร้อมอนุมัติให้มีการพัฒนาบทต่อไป ทาง Shatner ก็ได้ขอให้ Eric Van Lustbader นักประพันธ์เจ้าของผลงานสุดฮิตเรื่อง Ninja (ที่ สุวิทย์ ขาวปลอด เคยนำมาแปลเป็นภาษาไทยและฮิตไปพอตัว) ให้มาช่วยเกลาบท แต่ Van Lustbader เรียกค่าน้ำหมึกถึง 1 ล้านเหรียญ ทาง Paramount เลยปฏิเสธไป

ต่อมา Shatner เลยหันไปหา Harve Bennett ผู้อำนวยการสร้างหนังชุดนี้มาตั้งแต่ภาค 2 ซึ่งตอนนั้น Bennett เองรู้สึกเหนื่อยครับ ทำหนังชุดนี้มา 3 ภาคเลยอยากจะหันไปทำอย่างอื่นบ้าง แต่ Shatner ก็ไม่ละความพยายาม ตามไปคุยกับ Bennett ถึงบ้าน คุยกันเป็นวันกว่า Bennett จะยอมใจอ่อนแล้วกลับมาช่วยเกลาบทนี้อีกครั้ง โดย Bennett มีความเห็นว่าการเล่นกับประเด็นพระเจ้านั้น เป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน มันยากที่จะเขียนบทสรุปชัดว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ ถ้ามีจริงจะเป็นรูปแบบใด มันเป็นโจทย์ที่ยากถึงขนาด Bennett เปรียบว่าบทหนังเรื่องนี้มันออกแนวกวีปรัชญามากกว่าจะเป็นหนังผจญภัยในอวกาศ

ต่อมา Shatner และ Bennett เลยช่วยกันดัดแปลงบท ตัดเอาอะไรบางอย่างออกไปหลายอย่าง อีกทั้งเปลี่ยนคาแรคเตอร์เจ้าลัทธิของ “ซาร์” เสียใหม่ จนได้ออกมาเป็น “ไซบ็อก” พี่ชายต่างมารดาของสป็อกแทน และบทสรุปเรื่องพระเจ้าในตอนท้ายก็มีการดัดแปลงให้เป็นอย่างที่เราเห็นใน หนัง

แต่พอดีในช่วงนั้น Shatner เองก็กำลังยุ่งๆ จากการถ่ายทำหนังทีวีเรื่อง Broken Angel อยู่ จึงทำให้ไม่สามารถร่วมแปลงบทกับ Bennett ได้แบบเต็มที่ ทำให้ Bennett ต้องการคนช่วยอีกสักคน โดยในคราวแรกเขาอยากได้ Nicholas Meyer กลับมาช่วยเขียนบทในภาคนี้ แต่ Meyer ไม่ว่างครับ Bennett เลยติดต่อกับ David Loughery ที่เคยเขียนบทหนังไซไฟเรื่อง Dreamscape ให้มาช่วยดัดแปลงอีกที จนได้บทที่พวกเขาเห็นว่ามันเข้าท่าและน่าพอใจ

1368001641

แต่ขณะเดียวกัน Gene Roddenberry ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการนำเอาเรื่องของพระเจ้ามาเล่น ซึ่งก็ทำให้หลายคนแปลกใจเพราะจริงๆ แล้ว Roddenberry เองก็เคยคิดจะนำประเด็นพระเจ้ามากล่าวถึงตั้งแต่ใน Star Trek: The Motion Picture ในขณะที่ Leonard Nimoy กับ DeForest Kelley ไม่เห็นด้วยที่บทกำหนดให้สป็อกกับหมอแม็คคอยทรยศเคิร์ก ซึ่งมันดูเป็นไปไม่ได้เลยไม่ว่าจะกรณีใดๆ สำหรับคนที่อยู่ด้วยกันมานานเกือบ 20 ปีขนาดนั้น ทำให้ต้องมีการปรับแปลงบทสักหน่อย จากเดิมที่ Shatner ตั้งใจจะให้เคิร์กต้องลุยเดี่ยว (ส่วนหนึ่งก็เพื่อทำให้เรื่องดูกดดันขึ้น) ก็ปรับเป็นให้สป็อกกับหมอแม็คคอยมาร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ด้วย

นอก จากนี้ในการถ่ายทำก็ยังมีอุปสรรคอีกหลายประการ นอกจากการโดนตัดงบ จนทำให้ต้องตัดเนื้อเรื่องส่วนสำคัญไปมากมาย อีกทั้งการถ่ายทำที่ต้องแข่งกับเวลาเพราะทาง Paramount เร่งลงมาให้ Shatner รีบทำหนังให้เสร็จ เพราะตอนแรกหนังมีกำหนดฉายปี 1988 แต่ปรากฏว่ากว่าอะไรๆ จะได้เริ่มถ่ายก็ปาเข้าไปวันที่ 11 ตุลาคม ปี 1988 แล้ว

มิหนำซ้ำในเรื่องนักแสดงก็มีปัญหาพอสมควรครับ เริ่มจากบทไซบ็อกที่ตอนแรก Shatner อยากให้ Sean Connery ต้นตำรับเจมส์ บอนด์ 007 มารับบท แต่ทางนั้นก็ปฏิเสธครับ จนต้องให้ Laurence Luckinbill มารับบทแทน และ George Takei เจ้าของบทซูลูก็ไม่อยากกลับมาร่วมแสดงในภาคนี้ เนื่องจากเขากับ Shatner มีปัญหาไม่เข้าใจกันมานานพอสมควรแล้วครับ ทีนี้พอ Takei ทราบว่า Shatner จะกำกับ เขาเลยไม่อยากกลับมา แต่กระนั้น Shatner เองก็เป็นฝ่ายเดินทางไปปรับความเข้าใจกับ Takei ด้วยตนเองจนเขายอมกลับมา และในภายหลัง Takei ก็ให้สัมภาษณ์ว่าประสบการณ์ในกองถ่ายที่ Shatner กำกับนั้น เป็นอะไรที่ดีกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้มาก

จริงๆ แล้วบทที่ Shatner วาด ภาพไว้มันมีอะไรเยอะมากครับ อย่างตอนไคลแม็กซ์นั้นจริงๆ จะต้องหนัก Effect มาก เรียกว่ามีทั้งเทพและมารเพ่นพ่านเต็มจอ มีปีศาจหินที่แสนร้ายกาจ ประหนึ่งเรื่องราวใน Dante’s Inferno ก็ว่าได้ แต่ทาง Paramount ไม่ต้องการให้งบปานปลายไปกว่า 25 ล้านเหรียญที่ตั้งไว้ จึงขอให้ Shatner ตัดบางส่วน (ซึ่งหลายส่วนมาก) ในฉากไคลแม็กซ์ลง จนเหลือเพียงการเผชิญหน้ากับพระเจ้าแบบที่เราจะได้เห็นตอนดูหนังน่ะครับ

แล้วเรื่องราวของ Star Trek V ก็เริ่มที่ดาวนิมบัส 3 เมื่อมีชาววัลแคนนามว่าไซบ็อก (Laurence Luckinbill) ได้ทำการสะกดผู้คนให้อยู่ใต้อำนาจของเขา แต่เขาไม่ได้มีเจตนาร้ายครับ เขาจับตัวคนไว้เพื่อเรียกร้องให้สหพันธ์ส่งยานอวกาศมาสักลำ เพื่อที่เขาจะได้นำพาผู้คนที่ศรัทธาในตัวเขา เดินทางไปหาพระเจ้า ที่เขาเชื่อว่าอยู่ที่สุดขอบจักรวาล

และยานลำที่มาก็คือเอ็นเตอร์ไพรส์ครับ นำโดยกัปตันเคิร์ก (Shatner), สป็อก (Nimoy), หมอแม็คคอย (Kelley) และพรรคพวกชุดเดิม โดยพวกเขามีเป้าหมายจะช่วยตัวประกัน แต่แล้วในที่สุดยานเอ็นเตอร์ไพรส์ก็ได้กลายเป็นสารถีนำพาไซบ็อกเดินทางไปยัง สุดขอบจักวาลเพื่อค้นหาความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า

จริงๆ ผมว่าภาคนี้เนื้อเรื่องน่าสนใจนะครับ เพียงแต่มันเป็นอย่างที่ Bennett บอกว่ามันเหมาะจะเป็นหนังแนวปรัชญาที่ไม่จำเป็นต้องเฉลยคำตอบอย่างชัดเจน แต่ควรจะเน้นไปที่การสร้างคำถามเป็นหลักแบบที่ 2001: A Space Odyssey เคยทำเอาไว้ และถ้าหนังทำแบบนั้นได้คงจะเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นทีเดียวล่ะครับ เพียงแต่ว่า Shatner กลับเลือกที่จะนำเสนอในรูปแบบการผจญภัยสไตล์ Star Trek แทน

ภาค นี้กลายเป็นภาคที่ประสบความสำเร็จน้อยที่สุดครับ ลงทุนไปประมาณ 29 ล้านเหรียญ ได้คืนมา 52 ล้านในอเมริกา และหากรวมจากทั่วโลกก็ประมาณ 70 ล้าน ถึงแม้จะไม่ขาดทุนแต่ก็ไม่ใช่อะไรที่ Paramount คาดหวังจากหนังที่เคยทำเงินเมื่อภาคที่แล้วตั้ง 109 ล้านเหรียญ อีกทั้งคำวิจารณ์ส่วนใหญ่ก็เป็นไปในทางลบเสียส่วนใหญ่

1368001680

สำหรับผม หนังก็ดูได้เพลินๆ ครับ แม้รสชาติความอร่อยอาจจะไม่เท่าภาคอื่นๆ คือถ้าจะบอกว่าภาคนี้่สนุกน้อยที่สุดก็คงได้ แต่ก็อย่างที่ผมบอกเสมอน่ะครับ ว่าสนุกน้อยที่สุดก็ไม่ได้แปลว่าหนังไม่สนุกนะ มันยังมีจุดเข้าท่าอยู่ จุดที่เรารู้สึกได้ว่า Shatner ตั้งใจปรุงออกมาเพื่อตอบแทนแฟน Star Trek อย่างเช่นอารมณ์ขันมากมายที่มีอยู่ในหนัง การสนทนาต่อปากต่อคำระหว่างเคิร์ก, สป็อก และหมอแม็คคอยมีความขำแทรกอยู่ในหลายวาระ (แต่อาจจะขาดความคมไปสักนิด) อีกทั้งเรายังได้เห็นพวกเขาในวันพักร้อน ไปปีนเขาปิ้งอะไรกินกัน ได้เห็นซูลู (George Takei) กับเชคอฟ (Walter Koenig) ทำเนียนอ้างโน่นอ้างนี่เพื่อจะได้พักต่ออีกหน่อย ได้เห็นอูฮูร่า (Nichelle Nichols) เต้นรำและร้องเพลงแบบที่ไม่ได้เห็นมานาน (เพราะตามปกติในฉบับซีรี่ส์เธอจะเล่นดนตรีและร้องเพลงเป็นงานอดิเรกครับ) และเราจะได้เห็นสก็อตตี้ (James Doohan) เดินเอาหัวโหม่งเพดานเพราะมองไม่เห็น หลังจากเพิ่งพูดคำว่า “ผมรู้จักยานนี้ดีทุกกระเบียดนิ้ว

แล้วภาคนี้เรายังจะได้เห็น “ปม” ในใจของสป็อกกับแม็คคอย ทำให้เราได้รู้จักพวกเขาลึกซึ้งขึ้นไปอีกขั้น และงานด้านเทคนิคก็ออกแบบมาไม่เลวครับ โดยเฉพาะม่านบาเรียที่บริเวณสุดขอบจักรวาลนั่น

แต่ขณะเดียวกันหนัง ยังมีบทที่ไม่แน่นพอครับ ถ้าถอดเอาความขำที่ผมบอกไปก็จะพบว่าหนังไม่ค่อยมีอะไรมาก ตัวละครในเรื่องบางทีก็ดูทำอะไรแบบไม่ค่อยมีเหตุผลขึ้นมาเสียอย่างนั้น

โดยส่วนตัวแล้วผมว่าถ้าหนังใช้ประเด็นพระเจ้านำมาสู่การถกด้วยปัญญา นำมาสู่การสนทนาที่แฝงความคิด หรือพยายามนำเอา “ความเชื่อทางศาสนา” และ “หลักวิชาทางวิทยาศาสตร์” มาเจอกัน มันก็คงเพิ่มความน่าสนใจได้อีกเยอะครับ แต่ตัวหนังก็เลือกที่จะเดินเรื่องแบบเรื่อยๆ ไม่ได้มีจุดหนักกระตุ้นให้เรารู้สึกน่าติดตาม

ถ้าให้เทียบระดับความ เพลินของหนังก็คงบอกได้ว่าพอๆ กับภาคแรก (The Motion Picture) น่ะครับ ดูเรื่อยๆ ไม่ค่อยทิ้งปมทิ้งประเด็นให้เรารู้สึกอยากรู้ อยากเห็นสักเท่าไร

ภาค นี้อาจเป็นภาคที่ผมชอบน้อยที่สุดในหนังชุดนี้นะครับ แต่รู้อะไรไหมฮะ… ผมยังรู้สึกโอเคเสมอยามเปิดดูหนังภาคนี้อีกรอบต่อจากภาค 4 แล้วค่อยตามด้วยภาค 6 มันรู้สึกผูกพันไปแล้วน่ะครับ รู้สึกเหมือนเคิร์กและพรรคพวกคือเพื่้อนบ้านที่เราแวะไปหานานๆ ครั้ง และทุกครั้งเขาก็จะมาพร้อมเรื่องเล่า บางครั้งเขามาพร้อมเรื่องเล่าสุดตื่นเต้นทำให้เราประทับใจ แต่ครั้งนี้เรื่องที่พวกเขาเอามาเล่าอาจธรรมดาไปหน่อย อาจดูสนุกน้อยกว่าเรื่องก่อนๆ ไปนิด แต่ยังไงมันคือเรื่องของพวกเขา เรื่องที่มีกัปตันเคิร์ก มีสป็อก หมอแม็คคอย สก็อตตี้ อูฮูร่า เชคอฟ และซูลู ในส่วนหนึ่งของใจผมเพียงได้รู้เรื่องของพวกเขามันก็โอเคแล้วน่ะครับ

การดูรอบหลังสุดเพื่อนำมารีวิวในรอบนี้ ผมดู Blu-Ray ครับ ดูเบื้องหลังและบทสัมภาษณ์แบบเต็มอิ่ม มันทำให้ความรู้สึกที่ผมเคยเฉยกับภาคนี้มีทิศทางที่ดีขึ้นหน่อย เพราะผมได้เห็นความพยายามของพวกเขา ได้เห็นคนในกองช่วยเหลือกัน ทั้ง Shatner, Bennett, Nimoy คอยช่วยกันเท่าที่จะทำได้ แม้ผลจะออกมาไม่ลงตัว แต่มันก็เป็นความรู้สึกที่ดี ที่ได้เห็นพวกเขาอีกครั้งในสถานการณ์ใหม่ๆ

ไปๆ มาๆ ผมว่าไฮไลท์จริงๆ ของหนังคือฉากพักร้อนของพวกเขาน่ะครับ นั่งล้อมกองไฟ ร้องเพลง Row Row Your Boat หรือตอนสมัยพากย์ไทยสมัยก่อน เขาจะแปลเป็นเพลงพายงัดๆ

ใช่ อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมโอเคกับภาคนี้ก็คงเพราะทีมพากย์สมัยก่อนน่ะครับ พี่จักรกฤษณ์มาในเสียงกัปตันเคิร์ก พี่ปิยะมาในเสียงหมอแม็คคอย และพี่บัญชาพากย์เป็นสป็อก

ความรู้สึกดีๆ ที่ผมมีต่อลูกยานเอ็นเตอร์ไพรส์ อีกทั้งเสียงพากย์ในอดีต มันสามารถทำให้เรารู้สึกดีกับหนังที่รสชาติธรรมดาๆ เรื่องนี้ได้

1368034816

นอกจากนี้ผมว่าหนังยังมีประเด็นน่าคิดจากสิ่งที่ไซบ็อกเป็น เพราะเขาเป็นคนที่ได้รับการขนานนามว่าฉลาดปราดเปรื่องที่สุดในบรรดาชาววัล แคนรุ่นใหม่ แต่หนังก็เหมือนจะสะท้อนว่าคนที่คิดเก่ง สมองไว บางครั้งก็อาจติดกับดักทางความคิด อาจหลงในสิ่งที่ตนคิดว่าถูกคิดว่าใช่จนไม่ยอมเปิดใจฟังความเห็นอื่นๆ และในหลายวาระที่แม้คนฉลาดที่สุด (แต่ไม่ยอมฟังใคร ไม่ยอมเปิดรับความเป็นไปได้อื่นๆ) ก็อาจทำพลาดได้

สิ่งที่เราเห็นว่า ไซบ็อกเป็นนั้น มันก็น่าเอามาย้อนมองตนเองว่าเราเคยคิดว่าเรานั้นถูกที่สุดหรือเปล่า เวลาเราคิดอะไรแล้วคนอื่นคิดไม่เหมือน เรามักคิดว่าคนอื่นคิดผิดหรือเปล่า และที่สำคัญคือเราเปิดใจให้ใครต่อใคร (หรือแม้แต่ตัวเอง) ตรวจสอบความคิดเหล่านั้นที่เรามีหรือไม่

เพราะบางครั้งเราก็คิดผิดไป ไกล แต่อัตตานั้นไซร้ บังสติปัญญาจนเราไม่อาจสังเกตเห็นความผิดพลาดนั้น มีแต่ปรุงจิตแต่งใจให้เชื่อ เชื่อ และเชื่อแบบเข้มข้นมากขึ้น

คนมากมายสำนึกได้ว่าตนคิดผิด หรือมองอะไรพลาดก็มักจะเป็นช่วงที่อะไรต่อมิอะไรสายเกินการณ์เสียแล้ว

ไซ บ็อกจึงอาจถูกมองได้ว่าเป็นเหมือนคนเก่ง ผู้นำ ปัญญาชนที่มีแนวคิดดี แนวคิดแหวก และแนวคิดที่ถูกมากมาย แต่ก็อาจไม่ถูกทุกอันก็เป็นได้ และเราอาจคิดผิดเอาจุดที่สำคัญมากๆ ก็ได้ ทว่าด้วยความมั่นใจที่เรามีได้กลายเป็นสิ่งลวงตาเราโดยไม่รู้ตัว หรือไม่บางคนก็ขลาดเกินที่จะยอมรับในความผิดพลาดของตน จึงได้แต่ยืนกรานและหลอกใครๆ (รวมถึงหลอกตัวเอง) เพื่อรักษาสถานภาพความ “ถูก” ของตนเอาไว้

คน ลักษณะนี้เข้าอีหรอบหมองูตายเพราะงูครับ สุดท้ายแล้วคนเช่นไซบ็อกก็มักจะโดนความคิดที่ผิด (ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่) มอบผลร้ายให้สักวัน

การเป็นคนฉลาดนั้นถือเป็นพรชั้นดีอย่างหนึ่ง แต่หากเราขาดความเฉลียว (สงสัย) ความฉลาดอาจกลายสภาพเป็นคำสาปเข้าก็ได้

สรุป ว่าภาคนี้ก็อย่างที่บอกครับ หนังยังเรื่อยๆ เกินไป ไม่ลงตัวเต็มร้อย ดังนั้นดาวที่จะให้ก็ขอให้ตามจริงที่คิดไว้ ไม่บวกฟีลลิ่งและความผูกพันลงไป

สองดาวครับStar21(6/10)