Action

The Mummy Returns (2001) เดอะ มัมมี่ รีเทิร์น ฟื้นชีพกองทัพมัมมี่ล้างโลก

1459653824

The Mummy Returns ภาคต่อที่ยังสานต่อความมันส์ได้อย่างครบครันกับฉากแอ็คชั่นที่อุดมสมบูรณ์สิ้นดี บวกด้วย Effect กระจายและตามด้วยปมที่เชื่อมเรื่องราวจากภาคแรกได้อย่างน่าสนใจ

เหตุการณ์หลังจากภาคแรกประมาณ 8 – 9 ปี บัดนี้ริค (Brendan Fraser) และ เอฟเวอลีน (Rachel Weisz) ได้แต่งงานกันและมีพยานรักแล้วนั่นคือ อเล็กซ์ (Freddie Boath) เด็กชายวัย 8 ขวบที่ฉลาดหัวไว (และบางทีก็โก๊ะเหมือนแม่) และครอบครัวของริคก็น่าจะมีความสุขดีอยู่หรอกครับหากไม่มีพวกเหล่าร้ายที่นำโดย บัลตัซ ฮาเฟซ (Alun Armstrong) และ มีลา (Patricia Velasquez) ที่ได้ก่อการปลุกชีพอิมโฮเทป (Arnold Vosloo) ขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งงานนี้พี่อิมของเรามีเป้าหมายจะครองโลกทั้งใบ โดยมีแผนจะปลุกกองทัพของราชันย์แมงป่อง (Dwayne Johnson) ขึ้นมาใช้เป็นเครื่องมือ ซึ่งแน่ละครับ ริคและพรรคพวกก็ต้องโดดเข้าขวางแผนการนี้

ในแง่สาระหนังภาคนี้อาจไม่ได้มีมากสักเท่าไร แต่ความมันส์นี่จัดว่ามาเยอะมาและมาเต็มมากๆ มันส์ตลอดแบบไม่มีพัก ดนตรีก็มันส์ขึ้นบิ้วอารมณ์ได้เด่นมากขึ้น (จากฝีมือของ Alan Silvestri) และผมว่าตัวละครในภาคนี้มีความลึกพอสมควร คือมันอาจไม่ได้ลึกซึ้งแบบหนังดราม่าน่ะนะครับ แต่ถ้าเทียบกับหนังแอ็คชันเอามันส์ด้วยกันแล้วล่ะก็ ตัวละครจัดว่ามีมิติพอสมควร

แล้วยอมรับเลยว่าภาคนี้ นักแสดงทุกคนทำหน้าที่ได้ดี Fraser กับ Weisz ก็ดูเหมือนคู่รักที่ผูกพันกันจริงๆ และรายหลังนี่ดูสวยกว่าภาคที่แล้วอีก, John Hannah ก็ฮากันเข้าไป แม้แต่วายร้ายอย่าง พี่อิม (Vosloo) ก็ยังมีมิติเลยครับ แม้หนังจะเอามันส์ไม่เน้นสาระก็จริง แต่ทุกฉากนักแสดงต่างก็วาดลวดลายกันได้อย่างน่าพอใจ และมันไม่ได้โอเวอร์แอ๊คด้วยนะครับ โดยเฉพาะพี่ Vosloo กับฉากในตอนท้ายที่พี่แกต้องเจอกับเรื่องเจ็บปวดที่สุดในชีวิต สีหน้าชัดเจนเลยครับว่าเขารู้สึกอย่างไร โดยไม่ต้องพูดออกมาซักคำ ซึ่งอะไรแบบนี้ผมค่อนข้างประทับใจเลยล่ะครับ

งานเทคนิคพิเศษต่างๆ นับว่าน่าพอใจครับ และที่ต้องยอมรับคือ เป็นการใช้ CG อย่างสร้างสรรค์ คือไม่ได้แค่สักแต่ยัดๆๆๆ ความตื่นเต้นเข้ามาเท่านั้น แต่ทุกฉากทุกตอนมันมีความหมายต่อเรื่องราว เช่น ฉากปราสาทแต่ละแห่งที่พวกริคต้องตามรอยพี่อิมไป และโดยเฉพาะตอนอยู่ในป่าก่อนเข้าพีระมิดนั่น สภาพของป่า สีเขียวสดของใบไม้มันให้อารมณ์และบรรยากาศของดินแดนที่ยังไม่เคยมีใครเข้าถึงจริงๆ  – แต่ CG ช่วงท้ายที่ราชันย์แมงป่องโผล่มานั้นก็อาจจะแย่ไปหน่อย ซึ่งว่ากันว่าที่เป็นแบบนั้นเพราะงาน CG ฉากนั้นทำอย่างเร่งรีบแบบสุดๆ ครับ ชนิดที่เพิ่งเสร็จสดๆ ร้อนๆ ก่อนหนังฉายเพียง 8 วันเท่านั้น

mummyreturns

ที่ชอบอีกอย่างหนึ่งคือหนังเดินตามกฎที่ชาญฉลาดของการทำหนังภาคต่อซักเรื่อง นั่นคือการเอาสิ่งที่คนดูยังไม่รู้ในภาคแรกมาต่อเติมเสริมยอด ภาคนี้จึงมีรายละเอียดมากมายครับ ตั้งแต่อดีตชาติของแต่ละคน รวมไปถึงตำนานราชันย์แมงป่องอีก ซึ่งผมชอบนะ คืออะไรแบบนี้มันช่วยให้ภาคแรกมีเนื้อมีความแน่นมากขึ้น และมันทำให้ต่อเนื่องทางอารมณ์ด้วย คนอื่นไม่ทราบจะเป็นเหมือนผมอย่างนี้มั้ยนะครับ แต่ผมชอบมากกับอะไรแบบนี้ ยิ่งเอามาดูต่อกันนี่ยิ่งสนุกครับ เพราะมันเหมือนว่าเรากำลังติดตามเรื่องเล่าแสนสนุกสักชุดหนึ่ง ที่ยิ่งติดตามก็ยิ่งมันส์ ยิ่งดูยิ่งได้รู้อะไรมากขึ้น ซึ่งบางคนอาจจะมองว่าหนังออกแนวแถน่ะนะครับ แต่สำหรับผมแล้ว ผมชอบจริงๆ การเพิ่มเสริมปมและมิติให้ตัวละครแบบนี้

เกร็ดหนังที่อยากนำมาบอกอย่างแรกก็คือ ที่ Silvestri มาทำดนตรีให้ภาคนี้นั้นก็เพราะ Jerry Goldsmith คอมโพเซอร์จากภาคแรกมีปัญหาด้านสุขภาพครับ ท่านเลยไม่ได้มาทำดนตรีให้ภาคนี้

Freddie Boath นั้นเป็นแฟนตัวยงของ The Mummy ภาคแรก ครับ เขาดูมันไปตั้ง 30 รอบแน่ะ และเขาก็เลือกที่จะบอกผ่านการคัดตัวแสดงใน Harry Potter and the Sorcerer’s Stone (แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าบทไหนน่ะนะครับ) เพื่อมาเล่นเรื่องนี้โดยเฉพาะ และด้วยความที่ Boath ดูหนังภาคแรกจนจำรายละเอียดได้ทุกฉากและทุกบทพูด เขาเลยกลายเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ประจำกองถ่ายครับ ยามใดที่ทีมงานหรือนักแสดงต้องการทราบเรื่องใดๆ เกี่ยวกับหนังภาคแรก พวกเขาก็จะหันมาถาม Boath นี่แหละ

นอกจากนี้แรกเริ่มเดิมทีริคกับครอบครัวจะอยู่อาศัยในอพาร์ตเมนต์ครับ แต่เพื่อให้ฉากต่อสู้ออกมามันส์และใหญ่เลยมีการเปลี่ยนให้พวกเขามาอยู่ในคฤหาสน์แทน

และเกร็ดที่ผมฮามากๆ คือผู้กำกับ Stephen Sommers มีทิศทางที่ชัดเจนในประเด็นหนึ่งครับ ซึ่งประเด็นนั้นก็คือ เขาต้องการให้ริคและเอฟเวอลีนดูมีวุฒิภาวะและดูโตขึ้นจากหนังภาคแรก แต่สำหรับโจนาธานแล้ว Sommers ต้องการให้คนดูสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า โจนาธานไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยสักกะอย่างจากการผจญภัยรอบแรก ซึ่ง Hannah ก็จัดให้ตามนั้นครับ 5555

ถือเป็นหนังผจญภัยภาคต่อที่ทำได้ดีครับ ทุกส่วนลงตัวมากๆ ดาราเวิร์ก เนื้อเรื่องมันส์ CG ช่วยเสริมความตื่นเต้น ดนตรีก็ยังบิ้วอารมณ์ได้อย่างดี Sommers คุมหนังเรื่องนี้ได้เจ๋งดีครับ ส่วนรายได้ก็สวยงามตามท้องเรื่อง ทุนสร้างประมาณ $98 ล้าน ทำเงินทั่วโลกไป $443 ล้าน กำไรชัดเจนครับ

สรุปว่ามันส์ มันส์ และมันส์ครับ หนังเรื่องนี้คอหนังแอ็กชันผจญภัยไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ

สองดาวครึ่งกว่าๆ บวกๆ อีกแล้ว

Star22

(7.5/10)

Untitled03672