หนังแนวสร้างจากชีวิตจริงของนักกีฬาที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตานี่เป็นอะไรที่ผมโปรดมากอีกแนวหนึ่งครับ เพราะดูแล้วมันเพิ่มพลังใจให้เราก้าวเดินต่อไปในโลกใบนี้ (ที่มีทั้งวันฟ้าใสและวันฟ่้ามืด) ได้เสมอ
หนังแนวสร้างจากชีวิตจริงของนักกีฬาที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตานี่เป็นอะไรที่ผมโปรดมากอีกแนวหนึ่งครับ เพราะดูแล้วมันเพิ่มพลังใจให้เราก้าวเดินต่อไปในโลกใบนี้ (ที่มีทั้งวันฟ้าใสและวันฟ่้ามืด) ได้เสมอ
ดูแบบไม่คาดหวัง แล้วก็เพลินแบบพอดีๆ ครับ สำหรับเรื่องนี้
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมอิ่มตัวกับหนังซูเปอร์ฮีโร่ครับ คือหยุดดูไปเลยพักใหญ่ๆ ของ Marvel นี่ถ้าเป็นหนังดูถึง Black Panther: Wakanda Forever ส่วนซีรี่ส์นี่หยุดอยู่ที่ Ms. Marvel ในขณะที่ฟาก DC นี่ล่าสุดคือ Black Adam ครับ – ซีรี่ส์ Peacemaker ก็ยังไม่ได้ดู
Spy Kids: Armageddon ถือว่าไม่เลวครับ มีจุดที่เข้าท่าและยังโอได้อีกผสมๆ กันไป ถ้าให้เรียงตามความชอบแล้ว ภาคนี้ยังสู้ 2 ภาคแรกไม่ได้ แต่ก็ถือว่าน้องๆ ภาค 3 และเข้าท่ากว่าภาค 4 ครับ
ภาคแรกนั้นผมว่าก็พอขำ ดูได้เรื่อยๆ แต่ไม่ได้ประทับใจครับ มาภาคต่อก็ไม่ได้คิดจะสนใจดูนัก เพราะมันคงเดิมๆ นั่นแหละ พี่ Martin Lawrence กลับมารับบทเดิมที่ช่วยทำให้ชื่อพี่แกดังไปอีกพักใหญ่ๆ (ตอนนี้เริ่มเงียบอีกแล้ว) ในบทมัลคอล์ม เอฟบีไอที่เคยปลอมตัวเป็นบิ๊กมาม่าไปสืบคดี ผลลงเอยคือปิดคดีได้ ซ้ำยังได้ภรรยามาอีกต่างหาก (Nia Long)
ภาคนี้สนุกครับ เป็นภาคที่จัดเต็มสุดในบรรดา Thor ทั้ง 3 ภาคแล้วล่ะ ครบทั้งแอ็กชัน แฟนตาซี อารมณ์ขัน ดูเพลินมากทีเดียว ดังนั้นหากอยากดูก็ตีตั๋วไปดูได้เลยครับผม ไม่ต้องอ่านอะไรมากไปกว่านี้แล้ว
ทุกท่านเคยได้ยินคำว่า “หนังจบ อารมณ์ไม่จบ” ไหมครับ มันแปลว่าหนังเมามันส์มาก แม้จะดูจบไปแล้ว แต่อารมณ์เรามันยังอินต่อเนื่อง ยังอยากพูดคุยเกี่ยวกับมัน อยากดูอีกสักรอบสองรอบ หรือไม่ก็อยากดูภาคต่อเร็วๆ