อีกหนึ่งหนังที่โดดเด่นสุดๆ ทั้งในแง่การเล่าเรื่องและการแสดงครับ
อีกหนึ่งหนังที่โดดเด่นสุดๆ ทั้งในแง่การเล่าเรื่องและการแสดงครับ
เรื่องนี้ดูแบบไม่ทันตั้งตัวครับ ประมาณว่าจะหาหนังดู ก็เจอเรื่องนี้โผล่มา เพื่อพิจารณาแล้วว่าเป็นหนังลงน้ำก็กดดูทันที 5555 เข้าทางอีกแล้ว
ภาคต่อที่ห่างจากภาคแรกถึง 10 ปี ซึ่งจริงๆ แล้วหลังจากภาคแรกดังก็เกือบๆ จะมีเวอร์ชั่นซีรี่ส์ตามออกมาครับ โดยเปลี่ยนนักแสดงยกชุด แต่พอทำตอนไพลอตออกมาแล้วกลับไม่ได้ไปต่อ ต้องรอจนกระทั่งทีมงานชุดเดิมกลับมาทำต่อเป็นเวอร์ชั่นหนังนี่แหละ
ตอน Anger Management เข้าโรงนี่ หนังอยู่ในลิสต์ “ต้องดู” สำหรับผมเลยครับ มันถือเป็นหนังในฝันเลยนะ เพราะเป็นการโคจรมาเจอกันของจอมบ้ารุ่นเดอะอย่าง Jack Nicholson กับจอมบ้ารุ่นน้องอย่าง Adam Sandler ว่าง่ายๆ คือกะเข้าไปดูพวกพี่เขาบ้ากันแบบเต็มที่น่ะครับ
The Man from Toronto หนังสไตล์คู่หูคู่ต่างครับ Kevin Hart กับ Woody Harrelson มาเจอกัน รายแรกก็พล่ามไม่หยุดฉูดไม่อยู่ ส่วนรายหลังก็ออกแนวขาดโหด ซัดชาวบ้านทั่วสารทิศ
หลังดู Venom: Let There Be Carnage จบ ก็นิยามหนังได้แบบสั้น ง่ายและได้ใจความว่า “ดูเอามันส์ล้วนๆ” ครับ (เนื้อหาในรีวิวชิ้นนี้อาจมีสิ่งที่เรียกว่า “สปอยล์” สำหรับบางคนนะครับ หากไม่อยากทราบก็ไม่ควรอ่านต่อครับ รู้แค่นี้พอว่า “หนังดูเอามันส์ล้วนๆ”)
ผมพบว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ดู Venom หลายหนมากๆ ประมาณว่าเปิดทีวี-เคเบิ้ลก็มักจะเจอ หรือตอนไปแวะเวียนเยี่ยมเยียนใคร ก็จะพบว่าทีวีที่บ้านนั้นจะต้องมี Venom อยู่ในจอเสมอ แล้วผมก็มักจะมีโอกาสได้ดูจนจบทุกทีไป
และแล้วเรื่องของ The Hunger Games ก็มาถึงบทสรุปครับ เมื่อแคทนิส (Jennifer Lawrence) และพรรคพวกต้องประจัญบานกับประธานาธิบดีสโนว์ (Donald Sutherland) ในขั้นเด็ดขาด ก็มีการต่อสู้ มีการล้มเจ็บล้มตายกันตามสูตร
The Hunger Games: Mockingjay – Part 1 คือภาคคั่นเวลาก่อนทุกอย่างจะไปสิ้นสุดใน Part 2 ซึ่งถ้าใหสรุปคร่าวๆ แล้วก็ถือเป็นภาคที่ดูได้เรื่อยๆ แต่ไม่ได้มีความอลังหรือความลุ้นเท่า 2 ภาคแรก
สำหรับผมแล้ว หนังรีเมคหรือรีบูทนั้น ที่จัดว่ามีดีเข้าเป้าจริงๆ ถือว่ามีไม่มากครับ และแทบจะไม่ต้องพูดถึงภาคต่อเลย เพราะไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่องที่แค่ทำภาคแรกก็จอดแบบไม่ต้องแจวแล้ว หรือต่อให้ได้ไปต่อก็ตาม ก็ไม่แน่ว่าจะยืนยาวได้ถึง 3 ภาค