เมื่อ George Lazenby โบกมืออำลาบทเจมส์ บอนด์ หลังจากแสดงไปได้เพียงภาคเดียว ทำให้ Albert R. Broccoli กับ Harry Saltzman 2 ผู้สร้างหนังชุดนี้ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ Sean Connery กลับมาแสดงเป็นบอนด์อีกสักภาค เพื่อกระชากเรตติ้ง
เมื่อ George Lazenby โบกมืออำลาบทเจมส์ บอนด์ หลังจากแสดงไปได้เพียงภาคเดียว ทำให้ Albert R. Broccoli กับ Harry Saltzman 2 ผู้สร้างหนังชุดนี้ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ Sean Connery กลับมาแสดงเป็นบอนด์อีกสักภาค เพื่อกระชากเรตติ้ง
ใน End Credits ของเจมส์ บอนด์ภาคก่อนได้ขึ้นว่า “บอนด์จะกลับมาในตอน On Her Majesty’s Secret Service” แต่เนื่องจากตามนิยายแล้ว ฉากหลังของตอนดังกล่าวจะต้องอุดมไปด้วยหิมะ เพราะบอนด์ต้องไปผจญภัยบนฐานลับของศัตรูที่มีหิมะปกคลุม อีกทั้งมีการไล่ล่ากันด้วยสกีอีกต่างหาก
นี่ถือเป็นบอนด์ตอนที่มีคนดูมากที่สุดตลอดกาลเลยก็ว่าได้นะครับ นับจำนวนแล้วก็ประมาณ 74.8 ล้านคนแน่ะ ก็ถ้าคิดเป็นค่าตั๋วในยุคปัจจุบัน (ปี 2560) หนังก็จะทำเงินไปถึง 664 ล้านเลยทีเดียวล่ะครับ
ตอนจบของ From Russia with Love (1963) ได้ทิ้งท้ายไว้ว่าเจมส์ บอนด์จะกลับมาในตอน Goldfinger แค่นี้ก็ทำให้แฟนๆ ตั้งตารอคอยเต็มที่ แม้ช่วงแรกของการสร้างจะมีเรื่องให้ทีมงานเหนื่อยกันนิดหน่อยก็ตาม
พอ Dr. No ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามทำให้ United Artist ตกลงไฟเขียวให้กับภาคต่อของหนังบอนด์ทันที ทั้งยังเพิ่มทุนสร้างให้หลังจากภาคแรกใช้่ไปประมาณ 1 ล้าน มาภาคนี้ก็อัพขึ้นให้เป็น 2 ล้าน เรียกว่าจัดเต็มสุดตัวกันไปเลยทีเดียว
Dr. No ว่าด้วยการผจญภัยครั้งแรกบนจอใหญ่ของสายลับอังกฤษรหัส 007 (ซึ่งรหัสนำหน้า 00 แสดงว่า มีใบอนุญาตฆ่า) นามว่าเจมส์ บอนด์ (Connery) ที่ถูกส่งไปจาไมก้าเพื่อสืบร่องรอยคดีฆาตกรรมเจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับอังกฤษที่ชื่อสแตรงเวย์ แล้วเงื่อนงำทั้งหลายก็นำพาเขาไปพบกับอาชญากรลึกลับ ด็อกเตอร์โน (Joseph Wiseman) ผู้อยู่เบื้องหลังทั้งคดีฆาตกรรมและปฏิบัติการร้ายหมายก่อกวนความสงบสุขของโลก
นี่คือหนังที่สร้างจากนิยายของ Tom Clancy นักเขียนผู้เก่งฉกาจมากๆ สำหรับนิยายแนวทริลเลอร์ – แอ๊คชั่น+การเมืองน่ะนะครับ และเขาก็ได้สร้างตัวละครที่ชื่อว่า แจ๊ค ไรอัน (หรือชื่อเต็มว่า จอห์น แพทริค ไรอัน) ขึ้นมา ซึ่งแจ๊คก็เป็นเจ้าหน้าที่นักวิเคราะห์แห่งซีไอเอที่ต้องมารับมือกับ สถานการณ์ตึงเครียดที่แตกต่างกันไป ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเหตุการณ์ระหว่างประเทศที่สามารถจุดชนวนสงครามโลกเอาได้ ง่ายๆ เลยทีเดียว เรื่องราวแต่ละตอนก็เข้มข้นทั้งนั้นครับ เพียงแค่จะมากน้อยแตกต่างกันไป
พอล อาร์มสตรอง (Sean Connery) ศาสตราจารย์ทางกฎหมาย ที่ได้รับการร้องขอจากบ็อบบี้ เอิร์ล (Blair Underwood) ชายผู้โดนจับกุมข้อหาฆาตกรรมเด็ก แต่บ็อบบี้ยืนยันว่าเขาไม่ได้ทำ พอลจึงเดินทางมาเพื่อสืบหาความจริงด้วยตนเอง และเขาก็ได้เจอกับนายอำเภอผู้ไม่เป็นมิตรนัก นามแทนนี่ บราวน์ (Laurence Fishburne) การสืบหาความจริงก็ดำเนินไปพร้อมกับเวลาของบ้อบบี้ เอิร์ลที่ลดลงทุกวินาที แล้วความจริงมันคืออะไร ใครคือฆาตกร โปรดติดตามครับ
แม้นี่จะไม่ใช่หนังฆาตกรรม แต่ก็จัดเป็นหนังแนวสืบสวนเรื่องเยี่ยมจากฝีมือการกำกับระดับท็อปฟอร์มของ Brian De Palma เขานะครับ
ผมชอบหนังเรื่องนี้มากครับ เรื่องของ ดราโก้ มังกรไฟตัวสุดท้ายของโลก (ให้เสียงโดย Sean Connery) ที่ต้องมาโดนตามล่าจากโบเว่น (Dennis Quaid) อัศวินผู้เชื่อว่า เพราะเจ้ามังกรตัวนี้นี่แหละ ที่ทำให้ องค์ชายไอน่อน (David Thewlis คนที่มาเล่นเป็นลูปินใน Harry 3 อะแหละคับ) กลายเป็นกษัตริย์สุดชั่วร้ายไป แต่แล้วพอโบเว่นได้มาอยู่ร่วมกับดราโก้แล้ว เขาก็ได้ทราบความจริงว่ามังกรตัวนี้มีศักดิ์ศรีมากกว่าคนซะด้วยซ้ำ ที่ไอน่อนทำตัวเลวนั้น เป็นเพราะตัวเองครับ ไม่เกี่ยวกับใครเลย เขาเลยต้องร่วมมือกับดราโก้และชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งเพื่อล้มล้างทรราชย์คน นี้ลงให้ได้