เอาจริงๆ เรื่องนี้ก็อยู่ในข่ายหนังแนวสัตว์โลกน่ารักนั่นแหละครับ เพียงแต่พอสร้างโดย A24 มันก็จะมีอะไรเพิ่มมาหน่อย อย่างการจิกกัดนั่นนี่ตามสไตล์
เอาจริงๆ เรื่องนี้ก็อยู่ในข่ายหนังแนวสัตว์โลกน่ารักนั่นแหละครับ เพียงแต่พอสร้างโดย A24 มันก็จะมีอะไรเพิ่มมาหน่อย อย่างการจิกกัดนั่นนี่ตามสไตล์
พูดแบบไม่อ้อมค้อมคือค่อนข้างเฉยกับภาคนี้ครับ ไม่ได้รู้สึกสนุกหรือครื้นเครงแบบที่มักจะรู้สึกเสมอยามดู Ghostbusters ภาคก่อนๆ
ระหว่างดู Ghostbusters: Afterlife ใจก็คิดครับว่าโจทย์ในการทำหนังภาคต่อประเภทที่ระยะห่างระหว่างภาคก่อนกับภาคนี้ยาวนานเกิน 10 ปีขึ้นไป มันย่อมต่างจากการทำภาคต่อแบบห่างกันแค่ไม่กี่ปี
ผมมองว่าเป็นกลยุทธ์ที่ฉลาดมากๆ ครับ ที่ Marvel เอา Ant-Man มาฉายต่อจาก Avengers ประมาณว่าหลังจากดูอะไรที่มันใหญ่ๆ เบิ้มๆ ระดับจักรวาลกันไปแล้ว ก็มาสลับอารมณ์ดูอะไรที่ไซส์มันไม่ใหญ่บ้าง เป็นการเปลี่ยนรสชาติที่เข้าท่าดีเหมือนกัน
งานรีเมค The Dinner Game หนังตลกฝรั่งเศสที่ผมชอบ พอมาเป็นฮอลลีวู้ดก็มีการปรับเรื่องนิดๆ โดยคงเค้าเดิมเอาไว้บ้าง แล้วก็ขยายอะไรต่อมิอะไรอีกพอตัว เพราะต้นฉบับนั้นเรื่องราวจะดำเนินไปในฉากเพียงฉากเดียวครับ เนื่องจากมันทำมาจากละครเวทีแล้วก็คงสไตล์หนังไว้ที่ละครเวทีเช่นกัน
The Object of My Affection อาจไม่ใช่หนังชีวิตผสมโรแมนติกที่โดดเด่นอะไรขนาดนั้นนะครับ แต่ถ้าดูเอาเพลินล่ะก็ หนังก็ตอบโจทย์ได้ไม่เลว
หมื่นทิพเชื่อ! คนที่ชอบหนัง Anchorman ภาคแรกจะสนุกไปกับภาค 2 ได้ไม่ยาก
ยังไม่จบไม่สิ้นครับ จริงๆ แล้วคนดูภาค 5 มาก่อนคงรู้แล้วล่ะว่ายังไงภาค 6 ก็ต้องถือกำเนิดขึ้นมาแน่ๆ ก็ตอนจบเล่นเปิดทางซะขนาดนั้น เหตุการณ์ในตอนนี้หลังจากภาคที่แล้ว 6 ปีครับ
เมื่อคุณผ่านอะไรนัดหนามาทั้งวันแล้ว คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้ทำสิ่งสบายๆ ที่เราชอบ และสำหรับผมมันคือการดูหนังครับ
ผมว่า Ant-Man เนี่ย ไม่ใช่ไม่สนุกนะครับ มันก็ดูสนุกตามมาตรฐานหนังซูเปอร์ฮีโร่ทั่วไปนั่นแหละ ดาราหลักอย่าง Paul Rudd ก็มีเสน่ห์ในแบบของเขา จริงๆ ผมว่าพี่แกมีเอกลักษณ์เป็น “คนดีหลบใน จริงใจน่ารัก” แบบนี้มานานแล้วล่ะครับ (ใครเคยดู Clueless น่าจะจำได้) เพียงแต่เขาไม่ค่อยได้เล่นนำในหนังใหญ่ๆ สักเท่าไรเท่านั้นเอง