ป้ายกำกับ: Morgan Freeman

Wanted (2008) ฮีโร่เพชฌฆาตสั่งตาย

เวสลี่ย์ กิ๊บสัน (James McAvoy) ผู้จัดการบัญชีธรรมดาๆ ที่ใช้ชีวิตแบบเช็งๆ ไปวันๆ แต่อยู่มาวันหนึ่งเขาก็ได้พบกับสาวลึกลับนามว่าฟ็อกซ์ (Angelina Jolie) ที่ทำให้เขารู้ว่าจริงๆ แล้วเขามีทักษะยอดมือสังหารซ่อนอยู่ในตัว จากนั้นเวสลี่ย์ก็ได้เข้าสู่องค์กรมือสังหารที่นำโดยสโลน (Morgan Freeman) และเขายังได้รู้ว่าพ่อของเขาโดนมือสังหารที่ชื่อครอสส์ (Thomas Kretschmann) ฆ่าตาย เวสลี่ย์เลยตั้งมั่นที่จะไล่ล่าครอสส์ – เล่าประมาณนี้ครับ ที่เหลือไปดูกัน

Gunner (2024) ยอดคุณพ่อมือปืน

เรื่องนี้ผมเห็นหน้าลุง Morgan Freeman บนโปสเตอร์ แต่ก็เดาไว้แล้วล่ะครับว่าบทคงไม่ได้เยอะอะไร เหมือนทีมงานให้ลุงเขามาเรียกลูกค้ามากกว่า – แล้วผมก็เป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายน่ะครับ เลยจัดการดูซะตามระเบียบ

The Nutcracker and the Four Realms (2018) เดอะ นัทแครกเกอร์ กับสี่อาณาจักรมหัศจรรย์

ดูเหมือน The Nutcracker and the Four Realms เรื่องนี้จะโดนถล่มไปไม่น้อยตอนออกฉาย และรายได้ยังถือว่าวืดอีก (ทำไป $173 ล้านจากทั่วโลก ส่วนทุนสร้างราวๆ $120 ล้าน ก็คือขาดทุนนั่นเองครับ) อะไรเหล่านี้ลดความคาดหวังของผมลงไปได้เยอะอยู่ครับ ทำให้พอเอามาดูจริงๆ แล้วก็รู้สึกว่าหนังดูได้เรื่อยๆ แฮะ

The Bucket List (2007) เดอะ บัคเก็ต ลิสต์ คู่เกลอ กวนไม่เสร็จ

The Bucket List หมายถึง “รายการที่อยากทำให้ได้ก่อนตายครับ” และหนังเรื่องนี้ก็มีเนื้อหาว่าด้วยชาย 2 คนที่พบว่าตัวเองเป็นมะเร็งและอาจอยู่ได้อีกไม่นาน ดังนั้นแทนที่จะต้องนอนรอความตาย ทั้งสองเลยตัดสินใจออกท่องโลก ไปตระเวนทำในสิ่งที่พวกเขาเขียนไว้ใน Bucket List ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

Hitman’s Wife’s Bodyguard (2021) แสบ ซ่าส์ แบบว่าบอดี้การ์ด 2

Hitman’s Wife’s Bodyguard ถือเป็นภาคต่อภาคบังคับอีกเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นครับ หลังจากภาคแรกฮิตเกินคาด โกยทั่วโลกไป $176 ล้าน (จากทุนเพียง $30 ล้าน)

The Magic of Belle Isle (2012) มนตร์สะกดเบลล์ ไอเอิล

เรื่องนี้อายุหลายปีแล้วน่ะนะครับ แต่ผมเพิ่งได้ดูเมื่อเช้าทางช่องหนังของ True พอเห็นมีเรื่องนี้ในตารางก็ตั้งเวลารอดูเลยล่ะครับ เพราะแนวหนังก็จัดว่าเข้าทางผมอยู่เหมือนกัน (เป็นแนวดราม่าบอกเล่าช่วงหนึ่งของชีวิตคนน่ะครับ)

London Has Fallen (2016) ผ่ายุทธการถล่มลอนดอน

อันว่าหนังแอ็กชันภาคต่อที่เด็ดขาดสนุกเท่าภาคแรกนั้น เอาเข้าจริงๆ ก็มีไม่เยอะเท่าไรครับ ส่วนหนึ่งเพราะภาคแรกถ้าไม่แน่จริงก็คงไม่สามารถก่อให้เกิดภาคต่อได้ ดังนั้นภาคแรกก็ต้องมีดีมากประมาณหนึ่ง ดังนั้นการจะทำภาคต่อนั้น อย่าว่าแต่จะให้ดีกว่า เอาแค่ให้ดีเท่าเทียมก็ถือเป็นงานใหญ่แล้ว