เรื่องนี้ดูแบบไม่คาดหวังครับ และจริงๆ ก่อนดูก็ได้ยินคำบ่นมามากกว่าคำชม ครั้นพอได้ดูก็รู้สึกว่าหนังไม่ได้เลวร้ายอะไรครับ ดูเพลินๆ ดูง่ายๆ สนุกดี เพียงแต่หลายๆ อย่างยังดีได้อีกเท่านั้นแหละ
เรื่องนี้ดูแบบไม่คาดหวังครับ และจริงๆ ก่อนดูก็ได้ยินคำบ่นมามากกว่าคำชม ครั้นพอได้ดูก็รู้สึกว่าหนังไม่ได้เลวร้ายอะไรครับ ดูเพลินๆ ดูง่ายๆ สนุกดี เพียงแต่หลายๆ อย่างยังดีได้อีกเท่านั้นแหละ
ภาคนี้เชร็คตกหลุมพรางของรัมเพอร์สติลส์กินจอมเจ้าเล่ห์ครับ ทำให้เส้นชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนไป กลายเป็นว่าเขาไม่ได้เป็นเพื่อนกับเจ้าลาด็องกี้ ไม่ได้ครองรักกับฟิโอน่า ทำให้เชร็คต้องหาทางแก้ไขเพื่อให้ทุกสิ่งกลับคืนมาเหมือนเดิม
ภาคนี้เชร็คต้องรับสืบทอดเป็นพระราชา แต่เขาไม่อยากเป็นครับ เลยต้องออกเดินทางไปตามหาชายหนุ่มนามว่าอาร์ตี้ให้มาเป็นพระราชาแทน และขณะเดียวกันเชร็คกำลังจะมีลูกครับ พี่เขาเลยว้าวุ่นสับสนที่กำลังจะได้เป็นพ่อคน และไหนจะต้องรับมือการกลับมาขอเจ้าชายชาร์มมิ่งจอมพยาบาทอีก
ภาคแรกผมเฉยครับ แต่ภาคนี้ผมชอบนะ สนุกดี ฮาดี เรื่องราวก็ถือว่าน่าติดตามดี แต่ก็ยอมรับล่ะว่าองค์ประกอบบางอย่างก็อาจจะไม่แข็งแกร่งหรือดูแน่นเท่าภาคแรก
ผมเชื่อว่าทุกคนคงมีหนังบางเรื่องที่คนส่วนใหญ่เขาชอบกัน แต่เรานั้นดูยังไง๊ยังไงก็เฉยๆ หรืออาจไม่ชอบไปเลยก็มี ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาครับ อย่างผมนี่ก็มี เรื่อง Shrek นี่แหละ
ปิดท้ายไตรภาค ด้วยการกลับมากันครบทีมทั้งออสติน พาวเวอร์ สายลับเทพบุตรนานาชาติ, ดร.อีวิล จอมวายร้ายที่หมายครองโลก, แฟต บัสตาร์ท ไอ้อ้วนจอมถ่อย (Mike Myers ทั้งสิ้น) มาตีกันเป็นหนสุดท้าย ครั้งนี้ ดร.อีวิลนอกจากจะหิ้วเอา มินิ มี (Verne Troyer) กลับมาด้วยแล้ว เขายังตามเอา โกลด์เมมเบอร์ (Mike Myers นั่นแหละ จะใครซะอีกเล่า) อาชญาการแห่งยุค 1975 กลับมาก่อการทลายโลกในยุคปัจจุบัน
ภาคนี้ออสติน พาวเวอร์และดร.อีวิล ยังต้องมาตีกันต่อไป (Mike Myers รับบททั้งคู่) แต่คราวนี้พวกเขาก็ย้อนเวลาไปตีกันในยุค 60 ครับ เพราะดร.อีวิลย้อนเวลาไปขโมยโมโจของออสติน ออสตินเลยต้องไปตามคืน (โมโจ คือ ขุมพลังแห่งเซ็กซ์ครับ เออ หมกมุ่นจังพี่)
ออสติน พาวเวอร์ส (Mike Myers) คือมหาบุรุษสายลับนานาชาติแห่งยุค 60 เขาเก่ง เขาหล่อและมีเสน่ห์ (อย่างน้อยเขาก็คิดเช่นนั้น) แต่จากภารกิจล่าสุด เขากลับไม่สามารถจับตัว ดร.อีวิล (Mike Myers) วายร้ายคู่อาฆาตตลอดกาลของเขาได้ เพราะมันได้แช่แข็งตัวเองไปอยู่บนอวกาศ และมันจะกลับมาอีกครั้งในปี 1997 ออสตินจึงลงทุนยอมแช่แข็งตัวเอง