
Daredevil ปี 3 ออกฉายในปี 2018 แต่กว่าผมจะได้ฤกษ์เปิดดูก็ปาเข้าไปตอนปลายปี 2021 แล้วครับ
Daredevil ปี 3 ออกฉายในปี 2018 แต่กว่าผมจะได้ฤกษ์เปิดดูก็ปาเข้าไปตอนปลายปี 2021 แล้วครับ
ปีแรกก็เข้มข้นจนคนพากันจดจำและชื่นชอบ มาปีนี้ความเข้มข้นก็ยังมีพอกันครับ การเดินเรื่องยังคงมั่นกับสไตล์เป็นสายแข็ง (นั่นคือไม่ได้หวือหวาหรือไม่มีสีสันเท่าซีรี่ส์ของฟาก DC)
ซีรี่ส์ Daredevil ปีแรก มาพร้อมความเข้มข้นครับ จริงๆ เนื้อเรื่องมาทางเดียวกับ Arrow นั่นคือผู้กล้าคนหนึ่งยืนหยัดซัดกับคนชั่วในเงามืด แต่สิ่งที่ต่างกันอย่างแรงคือ Arrow ทำออกมาเน้นบันเทิง ส่วน Daredevil จะจริงจังกว่า
ผมดูหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนที่มันออกฉายครับ แล้วก็เอามาดูซ้ำอยู่เป็นพักๆ (ก็คือถ้าดูภาคแรกเมื่อไรก็ต้องจัดภาคนี้ต่อท้ายทุกทีไป) แต่ผมก็ไม่เคยเขียนถึงเลย เหตุผลก็ง่ายๆ ครับ นั่นคือไม่รู้จะเขียนอะไรดี 555
ตอนแรกๆ ก็แอบหวังไว้เหมือนกันนะครับ เพราะผู้สร้างเขาประกาศเลยว่านี่จะเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่แนวใหม่ มาพร้อมความสยองสายดาร์ค แต่พอหนังเลื่อนแล้วเลื่อนเล่า (ไหนค่าย Fox ยังไปอยู่ใต้ร่มเงาของ Disney อีก) ก็เริ่มเห็นแววครับว่าสงสัยความน่ากลัวของหนังน่าจะไม่มากเท่าที่คาดไว้
นี่ก็หนังประทับใจอีกเรื่องครับ Big Hero 6 ทำออกมาสนุก น่ารัก อบอุ่น แล้วก็ได้กลิ่นไอความเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ดี
ระหว่างดู X-Men ภาคนี้ผมก็นึกถึงเรื่องๆ หนึ่งขึ้นมาในหัวครับ… ผมนึกถึงประเด็นที่ว่า “ข่าวๆ หนึ่ง มีรสชาติแตกต่างกันออกไปยามที่ทีวีแต่ละช่องรายงานข่าวนั้นๆ”
เท่าที่เห็นตอนนี้ คะแนนนิยมของซีรี่ส์นี้ถือว่าไม่เลวครับ เหมือนจะมีคนโดนใจอยู่ไม่น้อย แต่ผมเองนั้นต้องขอสารภาพเลยครับว่า ดูแล้วก็โอเค ชอบในระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้ชอบมากเท่ากับ DareDevil หรือ Jessica Jones
การดู Fantastic Four ล่าหลังกว่าคนอื่นคงถือเป็นความโชคดีประการหนึ่งครับ เพราะหลังจากผ่านตาคำบ่นของคนดูมามากๆ เข้า อันว่าความคาดหวังของเราก็ลดต่ำลงตามลำดับ จนก่อนจะตีตั๋วดูนี่ทำใจได้สบายๆ ครับ คือหนังจะแย่แค่ไหนก็รับได้แล้วล่ะ
บอกตรงๆ ว่าพอดูหนังจบ ผมรู้สึกได้เลยว่า “ใจผมมันชำรุด” ครับ เล่นเอานั่งนิ่งที่เก้าอี้ไปพักหนึ่ง ซึ่งทั้งนี้และทั้งนั้นไม่ใช่เพราะหนังไม่ดีนะ จริงๆ ต้องบอกว่ามันดีจนเรารู้สึก Deep และรู้สึก Down ไปกับมันเลยทีเดียว