ยอมรับนับถือคนเขียนบทหนังเรื่องนี้ (Nedrick Young และ Harold Jacob Smith) เลยครับ แค่พล็อตตั้งต้นก็น่าสนใจแล้ว จับให้นักโทษผิวขาวกับนักโทษผิวดำโดนล่ามโซ่คู่กัน จนทำให้ต้องไปไหนไปด้วยกัน
ยอมรับนับถือคนเขียนบทหนังเรื่องนี้ (Nedrick Young และ Harold Jacob Smith) เลยครับ แค่พล็อตตั้งต้นก็น่าสนใจแล้ว จับให้นักโทษผิวขาวกับนักโทษผิวดำโดนล่ามโซ่คู่กัน จนทำให้ต้องไปไหนไปด้วยกัน
ในงานแจกรางวัลออสการ์ประจำปี 1952 มีหนัง 5 เรื่องที่ผ่านเข้าไปชิงในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ได้แก่ Moulin Rouge (ไม่เกี่ยวข้องกับหนังปี 2001 ของ Baz Luhrmann นะครับ), Ivanhoe, The Quiet Man, High Noon และ The Greatest Show on Earth ซึ่งผลที่สุดแล้ว เรื่องหลังก็คว้าออสการ์ไปได้
ผลงานของ Lon Chaney Jr. เจ้าของบท The Wolf Man ต้นฉบับนั่นเองครับ ในเรื่องนี้เขามาแสดงเป็นตำรวจนักสืบ แจ็ค วิลสัน ที่มาทำหน้าที่ตามหาเพชรที่หายไป โดยทำการติดหนวดไว้เครา ปลอมตัวเป็นเจ้าของบาร์แห่งหนึ่ง แล้วเขาจะตามเพชรกลับมาได้หรือไม่
นี่น่าจะเป็นหนังดีที่ผมพิมพ์รายละเอียดรีวิวน้อยที่สุดเรื่องหนึ่งเลยล่ะครับ
ยังไม่จบครับสำหรับเรื่องราวของเหล่ามอนสเตอร์เก่าแก่แห่งค่าย Universal
นักวิทยาศาสตร์ผู้บ้าคลั่ง ดร. กุสตาฟ นีมานน์ (Boris Karloff) กับ แดเนี่ยล (J. Carrol Naish) ข้ารับใช้หลังค่อมได้หนีออกจากที่คุมขังพร้อมด้วยความแค้น และสิ่งแรกที่เขาคิดจะทำเมื่อหนีออกมาคือ การนำเอาจอมผีดิบ แดร็กคูล่า (John Carradine) มาใช้ในงานล้างแค้น
เรื่องนี้ถือเป็นภาคต่อของหนังชุด Frankenstein (ถือเป็นตอนที่ 5) และ The Wolf man (ถือเป็นตอนที่ 2) ครับ กับการจับเอา 2 มอนสเตอร์ระดับตำนานของ Universal มาเจอกัน
เรื่องราวตอนที่ 4 ในหนังชุด Frankenstein ของค่าย Universal Pictures นะครับ
แล้วเราก็มาถึงตอนที่ 4 ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายของตำนานมัมมี่คาร์ริสแล้วนะครับ Lon Chaney Jr. ยังคงรับบทนี้เหมือนเดิมครับ ส่วนเหตุภาคนี้ก็เกิดหลังจากภาคที่แล้ว 25 ปี ซึ่งก็คือเหตุมาเกิดในปี 1999 นั่นเองครับ
นี่ก็เป็นภาคที่ 3 ของหนังชุด The Mummy’s Hand นะครับ เรื่องราวบทต่อมาของมัมมี่คาร์ริส (Lon Chaney Jr.) ที่ถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นมาอีก ด้วยฝีมือของยูซุฟ เบย์ (John Carradine) ทายาทคนต่อมาของเอนโดเฮป (George Zucco) วายร้ายจากภาคแรกที่ยังไม่ยอมตายเสียที