ป้ายกำกับ: Lochlyn Munro

Deck the Halls (2006) เด็ค เดอะ ฮอลส์ ศึกแต่งวิมาน พ่อบ้านคู่กัด

เมื่อวันคริสต์มาสเวียนมาถึง สตีฟ ฟินช์ (Matthew Broderick) ก็มักจะได้รับมอบหมายให้ช่วยจัดการงานวันคริสต์มาสประจำเมือง แต่แล้วด้วยการมาของบั๊ดดี้ ฮอลล์ (Danny DeVito) ก็ได้ทำให้หน้าที่ของสตีฟโดนแย่งไป แล้วบั๊ดดี้ยังประกาศออกไปว่าเขาจะประดับไฟตรงบ้านในช่วงเทศกาลให้มันสว่างจ้าจนเห็นได้จากอวกาศเลย

A Guy Thing (2003) ผู้ชายดวงจู๋

ตอนแรกผมนึกว่าตัวเองเคยดูเรื่องนี้มาแล้ว แต่น่าจะเคยดูแค่ช่วงต้นๆ น่ะครับ เพราะจำเรื่องที่เหลือไม่ได้เลย แต่ก็เอาเถอะครับ ได้โอกาสดูก็จัดซะ

The Art of War II: Betrayal (2008) ทำเนียบพันธุ์ฆ่า สงครามจับตาย 2

เจ้าหน้าที่ลับนีล ชอว์ (Wesley Snipes) ตัดสินใจเกษียณตัวเองออกจากวงการไปทำงานเป็นที่ปรึกษาให้ดาราชื่อดังอย่างจอห์น การ์เร็ตต์ (Lochlyn Munro) ที่อนาคตไกลถึงขั้นเป็นตัวเต็ง สว. แต่แล้วจอห์นก็ตกเป็นเป้าของมือสังหาร และมีคนอีกมากมายที่ถูกหมายหัว นีลจึงต้องหวนคืนวงการแล้วตามล่าหาความจริง ว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังแผนร้ายครั้งนี้

Detective Knight: Redemption (2022) นักสืบไนท์: คนอึดถล่มคริสต์มาส

และนี่คือภาคต่อครับ กับเรื่องของนายตำรวจเจมส์ ไนท์ (Bruce Willis) หลังจากต้องคดีไปในภาคก่อน มาภาคนี้เขาถูกเรียกตัวกลับมาเพื่อรับมือกับ ริคกี้ คอนแลน (Paul Johansson) ที่รวมพลคนคลั่งมาเขย่าขวัญชาวเมืองในช่วงเทศกาลคริสต์มาส

Detective Knight: Rogue (2022) นักสืบไนท์: คนอึดล่าระห่ำ

สำหรับผมแล้วหนังเรื่องนี้คือหนังที่ต้องดูแบบภาคบังคับครับ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าหนังมันคงไม่สนุกหรอก แต่ก็ตั้งใจดูเพื่อตามไปให้กำลังใจป๋า Bruce Willis ที่ต่อแต่นี้ไปเขาก็คงไม่มีผลงานใหม่ๆ มาให้เราตามดูอีกแล้ว (เนื่องด้วยปัญหาสุขภาพน่ะนะครับ)

Sniper: Assassin’s End (2020) สไนเปอร์: จุดจบนักล่า

แล้วเราก็มาถึงภาคที่ 8 ของหนังชุดนี้ครับ หนนี้ แบรนดอน เบคเกตต์ (Chad Michael Collins) สไนเปอร์พระเอกของเราโดนใส่ความหาว่าเป็นคนลงมือลอบสังหาร บรูโน ดิแอซ (Victor Favrin) ผู้ทรงอิทธิพลแห่งคอสตา เวอร์เด เขาเลยต้องหาทางหักล้างข้อกล่าวหา แล้วเขาก็เดินทางไปซ่อนตัวที่บ้านของ โธมัส เบคเกตต์ (Tom Berenger) พ่อของเขา ส่วนเรื่องราวจะไปจบลงอย่างไรก็หาคำตอบได้จากในหนังครับ

Disquiet (2023) กระสับกระส่าย

Disquiet เป็นหนังลึกลับซ่อนปริศนาหลอนๆ ครับ บอกได้คร่าวๆ ว่าถ้าใครผ่านหนังแนวนี้มาเยอะๆ ก็อาจจะเดาได้ และอาจเฉยกับหนัง ในขณะที่ผมนั้นก็ดูไปกรอไปเหมือนกันครับ เพราะจังหวะการเดินเรื่องค่อนข้างช้าไปนิด โดยส่วนตัวผมว่าหนังเหมาะกับการทำเป็นตอนสั้นๆ ลงใน The Twilight Zone น่ะครับ สัก 45 นาทีคงพอดี ทีนี้พอยืดเรื่องให้ยาวมันเลยมีส่วนเกินที่ทำให้หนังดูเยิ่อเย้อ ไม่เร้าระทึกอย่างที่ควรจะเป็น