
หลังดู Glass Onion จบ ผมก็ใช้เวลาอยู่หลายชั่วโมงในการถามตัวเองว่าตกลงรู้สึกยังไงกับหนัง?
หลังดู Glass Onion จบ ผมก็ใช้เวลาอยู่หลายชั่วโมงในการถามตัวเองว่าตกลงรู้สึกยังไงกับหนัง?
ถ้าจะพูดในแง่คุณภาพแบบหนังรางวี่รางวัลแล้ว ฺBad Moms อาจไม่ได้เลอค่าในทิศทางนั้นครับ แต่มันเป็นหนังที่โคตรจะโดนใจ #พ่อสายห่วย อย่างผม ทำเอาทั้งขำ ทั้งโดน ทั้งจี๊ดแบบสุดๆ ไปเลย
ผมชอบ Tomorrowland แม้มันจะไม่ได้สนุกมากมายดังที่หวังไว้ แต่สิ่งที่โดนใจคือ จินตนาการ และประเด็นสาระที่หนังต้องการสื่อครับ ^_^
Bad Words มีพล็อตที่น่าสนใจดีนะครับ เป็นเรื่องของ กาย ทริลบี้ (Jason Bateman แห่ง Horrible Bosses) หนุ่มวัย 40 ปีที่ลงแข่งสะกดคำระดับชาติท่ามกลางความงงของทุกคนที่พบเห็นและทราบเรื่อง เพราะปกติน่ะการแข่งสะกดคำก็จะมีแต่เด็กประถมลงแข่งเท่านั้น
ผมสนใจหนัง The D Train นี่ตั้งแต่ตอนดูตัวอย่างครับ ที่สนอย่างแรกเพราะ Jack Black นำแสดง และพล็อตมันก็ดูเป็นหนังตลกที่สามารถสอดแทรกสาระดีๆ ลงไป อีกทั้งยังสร้างความประทับใจได้อีกต่างหาก
การ Back to Basic ของพี่มาโนช (M. Night Shyamalan) ในหนนี้ถือเป็นการตั้งต้นที่โอเคไม่น้อยครับ หลังจากล้มคะมำไปไม่เป็นไปกับ After Earth ซึ่งในเวลาต่อมาเขาบอกว่าจริงๆ แล้วหนังที่ออกมามันไม่ใช่อะไรแบบที่เขาอยากให้เป็นเลยครับ
ยุคสมัยเดินไปข้างหน้า ทุกสิ่งมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเสมอ ^_^ ประโยคเปิดมาอาจดูไม่เข้ากับหน้าหนังน่ะนะครับ เพราะหนังมันแนวตลก แต่เปิดมาซะสัจธรรมเชียว 555
This Is Where I Leave You คือผลงานกำกับของ Shawn Levy ที่เขาทำก่อน Night at the Museum: Secret of the Tomb ครับ
กลายเป็นหนังม้ามืดแห่งปี 2013 ไปเลยครับ เพราะโกยในอเมริกาไป $150 ล้าน โดยทุนสร้างอยู่ที่ $37 ล้านเท่านั้น กำไรบานจนบริษัท Warner Bros สั่งให้ทำภาคต่อไปเรียบร้อย