และนี่ก็คือหนังภาคแยกของ Jumanji ครับ ว่าด้วยการผจญภัยในเกมกระดานเหมือนกัน โดยจะต่างจาก Jumanji ตรงที่อันนั้นจะเป็นการผจญภัยกับสิงสาราสัตว์ ส่วน Zathura จะเป็นเกมเกี่ยวกับอวกาศครับ
และนี่ก็คือหนังภาคแยกของ Jumanji ครับ ว่าด้วยการผจญภัยในเกมกระดานเหมือนกัน โดยจะต่างจาก Jumanji ตรงที่อันนั้นจะเป็นการผจญภัยกับสิงสาราสัตว์ ส่วน Zathura จะเป็นเกมเกี่ยวกับอวกาศครับ
ออกตัวครับว่าไม่เคยเล่นเกมนี้เลย แต่ก็พอจะได้ยินมาบ้าง เลยดูหนังเรื่องนี้แบบไม่รู้รายละเอียดอะไร กะไว้ค่อยไปทำความเข้าใจตอนดูทีเดียวเลยแล้วกันน่ะนะครับ
เรื่องนี้หลายคนน่าจะอินครับ โดยเฉพาะใครที่เคยโดนแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรหา
ถ้าจะนิยามว่า Little Manhattan คือแฟนฉันฉบับอเมริกันก็คงไม่ผิดอะไรครับ เพราะโครงเรื่องน่ะมาทางเดียวกันเลย และที่สำคัญคือดูจบแล้วได้ความรู้สึกดีๆ ติดหัวกลับมาด้วย
และแล้วเรื่องของ The Hunger Games ก็มาถึงบทสรุปครับ เมื่อแคทนิส (Jennifer Lawrence) และพรรคพวกต้องประจัญบานกับประธานาธิบดีสโนว์ (Donald Sutherland) ในขั้นเด็ดขาด ก็มีการต่อสู้ มีการล้มเจ็บล้มตายกันตามสูตร
The Hunger Games: Mockingjay – Part 1 คือภาคคั่นเวลาก่อนทุกอย่างจะไปสิ้นสุดใน Part 2 ซึ่งถ้าใหสรุปคร่าวๆ แล้วก็ถือเป็นภาคที่ดูได้เรื่อยๆ แต่ไม่ได้มีความอลังหรือความลุ้นเท่า 2 ภาคแรก
ภาคแรกดูเอามันส์และภาพสวยนะครับ พอมีภาค 2 ออกมาก็อีหรอบเดียวกันครับ ยังคงดูสนุกได้แบบไม่ต้องคิดมาก ดูเอาเพลิน เหมาะสำหรับจะใช้มันปลดปล่อยวิญญาณรักการผจญภัยในตัวคุณได้อย่างดีเลยล่ะครับ
แม้ชื่อจะเหมือนนิยาย Jules Verne และพล็อตก็เหมือน แต่เนื้อในก็ได้รับการดัดแปลงให้เข้าสมัยและดูง่ายขึ้นครับ ว่าด้วยเทรเวอร์ แอนเดอร์สัน (Brendan Fraser) กับฌอน (Josh Hutcherson) หลานชายของเขาร่วมเดินทางกันค้นหาร่องรอยพ่อของฌอนที่หายตัวไปแถบเทือกเขาในไอซ์แลนด์ โดยมีไกด์สาวนามว่าฮันน่าห์ (Anita Briem นางเอกของเรื่องซึ่งน่ารักมากทีเดียวครับ) คอยนำทางไป
“ความหวัง คือสิ่งเดียวที่แข็งแกร่งกว่าความกลัว”
ในแง่ความบันเทิง The Hunger Games ตอบโจทย์ได้ดี เพราะมีทั้งพล็อตชวนติดตาม มีแอ็กชันมีความตื่นเต้นชวนลุ้น และมีเรื่องให้สะเทือนใจแทรกเป็นพักๆ