จริงๆ แล้วก่อนนี้ผมเฉยกับบอนด์ภาคนี้นะครับ ด้วยโทนเรื่องที่ถือว่าหนักขึ้นและบอนด์เองก็ออกแนวพระเอกล้างแค้นมากกว่าจะมาเป็นสายลับอังกฤษทรงเสน่ห์แบบเดิมๆ
แต่พอเวลาผ่านไป กลับมาดูบอนด์ภาคนี้อีกรอบ ผมกลับโอเคกับมันมากขึ้น
จริงๆ แล้วก่อนนี้ผมเฉยกับบอนด์ภาคนี้นะครับ ด้วยโทนเรื่องที่ถือว่าหนักขึ้นและบอนด์เองก็ออกแนวพระเอกล้างแค้นมากกว่าจะมาเป็นสายลับอังกฤษทรงเสน่ห์แบบเดิมๆ
แต่พอเวลาผ่านไป กลับมาดูบอนด์ภาคนี้อีกรอบ ผมกลับโอเคกับมันมากขึ้น
เมื่อ Roger Moore อำลาบทเจมส์ บอนด์แบบแน่นอนไปแล้ว การสรรหาดาราหนุ่มคนใหม่มาสวมวิญญาณสายลับ 007 ก็เริ่มต้นอีกครั้ง โดยครั้งนี้คนที่ได้รับการทาบทามเป็นหมายเลข 1 คือ Timothy Dalton ที่ Albert R. Broccoli อยากให้มาแสดงเป็นบอนด์ตั้งแต่สมัย On Her Majesty’s Secret Service (ปี 1969 โน่นน่ะครับ) แต่ Dalton เป็นคนปฏิเสธเพราะคิดว่าตนหนุ่มเกินไปสำหรับบทพยัคฆ์ร้ายบทนี้
หลังจากหนังเจมส์ บอนด์ตอน Octopussy ประสบความสำเร็จและยังทำเงินมากกว่าบอนด์ตอน Never Say Never Again ที่สร้างโดย Kevin McClory การสร้างตอนต่อจึงเริ่มอย่างรวดเร็วครับ โดยคราวนี้ Michael G. Wilson ได้โดดมาร่วมอำนวยการสร้างร่วมกับ Albert R. Broccoli แบบเต็มตัว และยังคงทำหน้าที่เขียนบทร่วมกับ Richard Maibaum อีกเช่นเคย และผู้กำกับก็หนีไม่พ้น John Glen คนเดิม
การกลับมาครั้งที่ 13 ของสายลับเจมส์ บอนด์ 007 นั้นถือว่ามีอะไรน่าสนใจหลายอย่างเลยครับ ไม่ว่าจะเบื้องหน้า (ตัวหนัง) และเบื้องหลัง (งานสร้าง)
หลังจากเจมส์ บอนด์ตอน Moonraker ประสบความสำเร็จอย่างสูง ทำให้ผู้อำนวยการสร้าง Albert R. Broccoli รู้สึกเบาใจ คลายความกดดันที่มีในการสร้างหนังบอนด์ลงไปมาก เพราะก่อนหน้านี้เขาต้องพยายามทำบอนด์ออกมาตามกระแสเพื่อดึงความนิยม