Nicolas Cage เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่านี่คือผลงานการแสดงชิ้นที่เขาชอบมากๆ ครับ ครั้นพอได้ดูก็เข้าใจเลยว่าทำไม
Nicolas Cage เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่านี่คือผลงานการแสดงชิ้นที่เขาชอบมากๆ ครับ ครั้นพอได้ดูก็เข้าใจเลยว่าทำไม
เกิดเหตุสังหารโหดในอาคารแห่งหนึ่ง โดยผู้ลงมือได้ใช้ปืนฆ่าคนไปถึง 11 ศพก่อนจะลงมือปลิดชีพตนเอง แล้วหนึ่งในภรรยาของผู้ตายก็ได้เป็นโจทก์ฟ้องบริษัท วิสเบิร์ก ไฟร์อาร์ม ที่ผลิตปืนที่ใช้ในการสังหารโหดครั้งนี้โดยมี เวนเดล รอห์ (Dustin Hoffman) เป็นทนายฝ่ายโจทก์ แต่ฝ่ายบริษัทปืนที่โดนฟ้องก็ไม่ยอมง่ายๆ ครับ ได้ว่าจ้างให้ แรนกิน ฟิตช์ (Gene Hackman) มาช่วยทำทุกวิถีทางที่จะทำให้ลูกขุนยอมหันมาช่วยฝ่ายของตน
ภรรยาผมพูดขึ้นหลังดูหนังเรื่องนี้จบว่า “เราไม่มีโอกาสที่จะทำให้วันไหนดีขึ้นได้ นอกจากวันนี้… ว่าอย่างนั้นมั้ย?” แล้วผมก็พยักหน้าตอบรับครับ ^_^ (บอกก่อนครับ บทความนี้ยาว เพราะหนังมันถูกจริตมากมาย)
หนังแนวนี้จริงๆ ผมชอบเลยล่ะครับ ประเภทให้ตัวเอกไปขุดคุ้ยตามสืบความจริงของเหตุการณ์บางอย่าง แล้วพอยิ่งสืบเขาก็ยิ่งถลำลึกไปกับมันจนส่งผลต่อชีวิต และนำอันตรายมาสู่ตนเอง
เพียงสามวันหลังจากหนัง The Grudge ภาคแรกออกฉาย Sony เจ้าของทุนก็ไฟเขียวสำหรับภาคต่อทันที ก็แหงล่ะครับ โดยสามวันแรกเกือบ 40 ล้าน ไม่สร้างต่อก็บ้าแล้ว
เมื่อโลกไร้ซึ่งความหวัง “ความเชื่อ” นั่นเองที่มีค่าที่สุด
ผมเคยรีวิวถึงภาคหนึ่งของหนังชุดนี้แล้วครับ ซึ่งสมัยนั้นผมก็ชอบหนังเรื่องนี้นะ มันสนุก น่าติดตาม มีการทิ้งปมลึกลับไม่เลว แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นชอบมากอะไรนัก จนมาดูใหม่อีกรอบนี่แหละครับถึงรู้สึกชอบภาคแรกของหนังชุดนี้มากขึ้น
ครับ ภาคแรกเจ๊ง แต่ไม่วายครับ ไม่วาย มันยังเข็นภาคสองออกมาตามหลอกหลอน และไอ้หมื่นคนนี้ก็ยังหน้าด้านตามไปดูอีก เออ ไม่เข็ดครับ ไม่เข็ดอย่างแรง